21 พฤศจิกายน 2567

แคลเซียม (Calcium) แร่ธาตุสำคัญ มีส่วนช่วยเสริมสร้างความหนาแน่นของกระดูกและฟัน

สรุปโดยย่อ: แคลเซียม (Calcium) เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูก และฟัน นอกจากนี้ยังช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดี และช่วยในกระบวนการแข็งตัวของเลือด แหล่งแคลเซียมที่ดีคือ นม ผักใบเขียว และปลาที่กินได้ทั้งก้าง การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเป็นประจำจะช่วยเสริมสุขภาพได้เป็นอย่างดี
สารบัญเนื้อหา

แคลเซียม (Calcium) เป็นแร่ธาตุสำคัญต่อร่างกายที่มีประโยชน์ ช่วยเสริมสร้างความหนาแน่นของกระดูกและฟัน ทำให้อวัยวะในส่วนดังกล่าวมีความแข็งแรง ไม่สึกหรอ หรือผุกร่อน นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะส่วนอื่นๆ ในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบประสาท การเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือดเมื่อเกิดบาดแผล การหดตัวของกล้ามเนื้อ และยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด ทำให้เกิดปฏิกิริยาในร่างกายที่เหมาะสม เป็นการป้องกันโรคร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาได้เป็นอย่างดี

ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน

เนื่องจากแคลเซียม มีความจำเป็นอย่างมากในการบำรุงส่วนต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ จึงจำเป็นต้องได้รับแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายดึงไปใช้งานได้อย่างครบถ้วน โดยปริมาณแคลเซียมที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำในการบริโภคต่อวันนั้นอยู่ที่ 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งจากปริมาณที่บริโภคเข้าไปนี้ ร่างกายจะดูดซึมในทางเดินอาหารประมาณ 400-500 มิลลิกรัมต่อวัน ยิ่งถ้าหากร่างกายมีปริมาณวิตามินดีในระดับที่เพียงพอ ก็จะช่วยให้เกิดการดูดซึมแคลเซียมได้มากขึ้นด้วย ทำให้กระดูกและฟัน รวมไปถึงอวัยวะต่างๆ ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ในปริมาณที่เพียงพอ

ข้อแนะนำในการกินอาหารที่มีแคลเซียม

การกินอาหารที่มีแคลเซียมนั้น ก็มาพร้อมข้อจำกัดในการกินเพื่อความเหมาะสมของสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับ ทั้งนี้ก็เพื่อการดูดซึมที่เหมาะสม

โดยควรกินอาหารที่มีแคลเซียมในปริมาณครั้งละน้อยๆ หรือเฉลี่ยไม่เกิน 500 มิลลิกรัมต่อ 1 มื้ออาหาร หรือสามารถแบ่งเป็นมื้อย่อยๆ หลายมื้อ ซึ่งจะดีกว่าการบริโภคสารอาหารที่มีแคลเซียมครั้งเดียวในปริมาณมากๆ

หากปริมาณแคลเซียมที่กินในอาหารแต่ละมื้อไม่เพียงพอ สามารถกินแคลเซียมในรูปของแคปซูลหรืออาหารเสริมเพิ่มเติมได้ แต่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

บทบาทของแคลเซียมในร่างกาย

แคลเซียมไม่เพียงแต่มีบทบาทในการสร้างกระดูก และฟันเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ การส่งสัญญาณของระบบประสาท และการแข็งตัวของเลือด เมื่อแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะเก็บแคลเซียมในกระดูกเป็นส่วนใหญ่ เพื่อใช้ในช่วงที่มีความต้องการสูง

  • กระดูก และฟัน: กระดูกเป็นแหล่งเก็บแคลเซียมที่สำคัญ ร้อยละ 99 ของแคลเซียมในร่างกายถูกเก็บในกระดูก และฟัน แคลเซียมช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก โดยการสะสมแคลเซียมในกระดูกจะช่วยให้กระดูกแข็งแรง และมีมวลที่มากเพียงพอ
  • การหดตัวของกล้ามเนื้อ: แคลเซียมมีบทบาทในการหดตัวของกล้ามเนื้อโดยช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถหด และคลายตัวได้อย่างเหมาะสม ระบบกล้ามเนื้อจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อมีระดับแคลเซียมเพียงพอ
  • ระบบประสาท: แคลเซียมช่วยในการส่งสัญญาณจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง ทำให้ระบบประสาทสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง
  • การแข็งตัวของเลือด: แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นกระบวนการแข็งตัวของเลือด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เลือดหยุดไหลเมื่อเกิดบาดแผล

10 ประโยชน์ของแคลเซียม

แคลเซียมมีประโยชน์มากมายที่จะช่วยบำรุงสุขภาพทั้งภายนอกและภายในได้อย่างครบถ้วน โดยสามารถแยกเป็นประโยชน์หลักๆ ได้ดังนี้

  1. บำรุงกระดูกให้แข็งแรง ไม่สึกหรอ หรือผุกร่อนง่าย
  2. บำรุงฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคฟันผุได้ผล
  3. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นโรคที่มีผู้ป่วยเป็นเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี
  4. รักษาอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ในระดับปกติ
  5. ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายมากขึ้น
  6. ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญธาตุเหล็กในร่างกาย
  7. ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดระดับคอเลสเตอรอลได้
  8. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  9. ควบคุมการทำงานของระบบประสาทให้เป็นไปได้อย่างปกติ
  10. ลดอาการก่อนประจำเดือน และป้องกันความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเต้านม

การบริโภคหรือได้รับแคลเซียมอย่างเหมาะสม จะส่งผลให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนของการเสริมสร้างกระดูก การส่งสัญญาณของระบบประสาท และการทำงานของกล้ามเนื้อ การได้รับแคลเซียมที่เพียงพอยังช่วยให้ร่างกายมีสมดุลที่ดี ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้อย่างปกติ และมีประสิทธิภาพ

อาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง

แคลเซียมสามารถพบได้ในอาหารหลากหลายประเภท ซึ่งมีปริมาณแคลเซียมที่แตกต่างกันไป โดยอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง เหมาะสำหรับการกินในชีวิตประจำวัน มีดังนี้

อาหารแคลเซียมสูง
อาหารแคลเซียมสูง

1. นมและผลิตภัณฑ์จากนม

นมนับเป็นแหล่งรวมแคลเซียมที่เหมาะสำหรับการบริโภคในแต่ละวัน เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณแคลเซียมในร่างกาย โดยนม 1 กล่องนั้น มีปริมาณแคลเซียมมากถึง 300 มิลลิกรัม หากกินนมพร่องมันเนยวันละ 2 กล่อง ก็จะทำให้มีปริมาณของแคลเซียมที่เพียงพอต่อร่างกาย และสามารถถูกดูดซึมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง

ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลืองหรือเต้าหู้ที่ทำมาจากถั่วเหลือง ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง และร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ดี นอกจากนี้ยังมีปริมาณโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายสูงด้วยเช่นกัน จึงเหมาะสำหรับการกินเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายในทุกๆ ส่วน

3. ผักใบเขียว

ผักใบเขียวบางชนิด เช่น คะน้า กวางตุ้ง เป็นผักที่มีปริมาณแคลเซียมสูง และร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มาก แต่ต้องระวังการกินผักใบเขียวบางชนิด เช่น ชะพลู ผักโขม ปวยเล้ง ผักเหล่านี้แม้จะมีปริมาณแคลเซียมสูง แต่ร่างกายยากที่จะนำไปใช้ในแต่ละวัน เพราะมีปริมาณออกซาเลตสูงกว่า ดังนั้นควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น

4. เนื้อปลา ปลาซาร์ดีน กระป๋อง

ปลาที่บริโภคกระดูกได้ หรือเนื้อสัตว์เล็กๆ เช่น กุ้งฝอย กุ้งแห้ง อาหารจำพวกนี้ถือเป็นอีกแหล่งที่มีปริมาณแคลเซียมสูงมากเช่นกัน แต่ก็ต้องกินในปริมาณที่พอเพียงเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างเหมาะสม

ตารางแคลเซียมในอาหารที่พบได้บ่อยในประเทศไทย

ชื่ออาหาร หน่วยบริโภค แคลเซียมใน 1 หน่วย สัดส่วน
ชีสพาร์เมซาน 100 กรัม 1184 มิลลิกรัม สูง
งาดำ 100 กรัม 975 มิลลิกรัม สูง
นมผง 100 กรัม 925 มิลลิกรัม สูง
กุ้งแห้ง 100 กรัม 1200 มิลลิกรัม สูง
ปลาซาร์ดีนในน้ำมัน (พร้อมกระดูก) 100 กรัม 382 มิลลิกรัม สูง
นมวัว 1 แก้ว (240 มล.) 300 มิลลิกรัม สูง
โยเกิร์ต 1 ถ้วย (245 กรัม) 275 มิลลิกรัม สูง
เต้าหู้แข็ง 100 กรัม 350 มิลลิกรัม สูง
อัลมอนด์ 100 กรัม 264 มิลลิกรัม สูง
ผักคะน้า 100 กรัม 245 มิลลิกรัม สูง
ถั่วเหลือง 100 กรัม 277 มิลลิกรัม สูง
ปลากระป๋อง (พร้อมกระดูก) 100 กรัม 200 มิลลิกรัม สูง
บรอกโคลี 100 กรัม 47 มิลลิกรัม กลาง
ผักกวางตุ้ง 100 กรัม 105 มิลลิกรัม กลาง
ปลาแซลมอน (กระป๋อง) 100 กรัม 200 มิลลิกรัม กลาง
มะเดื่อแห้ง 100 กรัม 162 มิลลิกรัม กลาง
กุ้งสด 100 กรัม 70 มิลลิกรัม กลาง
ผักปวยเล้ง 100 กรัม 99 มิลลิกรัม กลาง
หอยนางรม 100 กรัม 82 มิลลิกรัม กลาง
ไข่ไก่ 1 ฟอง (50 กรัม) 25 มิลลิกรัม ต่ำ
ปลานิล 100 กรัม 10 มิลลิกรัม ต่ำ
หอยลาย 100 กรัม 76 มิลลิกรัม กลาง
ผักโขม 100 กรัม 99 มิลลิกรัม กลาง
หอยแมลงภู่ 100 กรัม 78 มิลลิกรัม กลาง
นมถั่วเหลือง 240 มล. 300 มิลลิกรัม สูง
เต้าหู้ขาว 100 กรัม 150 มิลลิกรัม กลาง
งาขาว 100 กรัม 975 มิลลิกรัม สูง
ถั่วเขียว 100 กรัม 65 มิลลิกรัม กลาง
ถั่วลิสง 100 กรัม 92 มิลลิกรัม กลาง
น้ำเต้าหู้ 240 มล. 80 มิลลิกรัม กลาง
นมอัลมอนด์ 240 มล. 450 มิลลิกรัม สูง
เต้าหู้เหลือง 100 กรัม 120 มิลลิกรัม กลาง
ชีสเชดดาร์ 100 กรัม 721 มิลลิกรัม สูง
ครีมชีส 100 กรัม 98 มิลลิกรัม กลาง
ขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น 35 มิลลิกรัม ต่ำ
น้ำส้มเสริมแคลเซียม 240 มล. 300 มิลลิกรัม สูง
ไอศกรีมวานิลลา 100 กรัม 128 มิลลิกรัม กลาง
ถั่วแดง 100 กรัม 143 มิลลิกรัม กลาง
ปู 100 กรัม 98 มิลลิกรัม กลาง
บลูเบอร์รี่ 100 กรัม 6 มิลลิกรัม ต่ำ
กล้วย 100 กรัม 5 มิลลิกรัม ต่ำ
หอมใหญ่ 100 กรัม 25 มิลลิกรัม ต่ำ
แครอท 100 กรัม 33 มิลลิกรัม ต่ำ
สตรอว์เบอร์รี่ 100 กรัม 16 มิลลิกรัม ต่ำ
แตงโม 100 กรัม 8 มิลลิกรัม ต่ำ
มะเขือเทศ 100 กรัม 10 มิลลิกรัม ต่ำ
ข้าวโพด 100 กรัม 3 มิลลิกรัม ต่ำ
ผักสลัด 100 กรัม 36 มิลลิกรัม ต่ำ
ขนมปังขาว 1 แผ่น 25 มิลลิกรัม ต่ำ
แอปเปิ้ล 100 กรัม 6 มิลลิกรัม ต่ำ
ลูกพีช 100 กรัม 6 มิลลิกรัม ต่ำ
ถั่วลันเตา 100 กรัม 25 มิลลิกรัม ต่ำ
มันฝรั่ง 100 กรัม 10 มิลลิกรัม ต่ำ
ผักชีฝรั่ง 100 กรัม 29 มิลลิกรัม ต่ำ

หลักการเลือกแคลเซียมที่เป็นอาหารเสริม

หากไม่สามารถรับแคลเซียมเพียงพอจากอาหารในแต่ละวัน การเสริมแคลเซียมผ่านอาหารเสริมอาจเป็นทางเลือกที่ดี อย่างไรก็ตาม การรับแคลเซียมในรูปแบบอาหารเสริมควรทำด้วยความระมัดระวัง โดยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ประกอบวิชาชีพสุขภาพ เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับปริมาณที่เหมาะสม และควรคำนึงถึงปัจจัยดังนี้

1. สังเกตส่วนผสมให้ถี่ถ้วน

หากมีส่วนผสมของวิตามินซีหรือวิตามินดีมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดอันตรายหลังจากกินได้

2. สังเกตปริมาณแคลเซียมที่ได้รับ

ปริมาณแคลเซียมที่กินเพิ่มเข้าไปนั้น เมื่อรวมกับแคลเซียมเดิมที่มีในร่างกาย ไม่ควรเกิน 800 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ร่างกายควรได้รับใน 1 วัน

3. สังเกตรูปแบบของอาหารเสริม

หากเป็นอาหารเสริมประเภทละลายน้ำ ร่างกายจะดูดซึมได้ยาก ควรกินแบบเม็ดหรือเม็ดฟู่ ร่างกายจะดูดซึมได้ดีกว่า

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียม

แม้ว่าแคลเซียมจะเป็นสารอาหารที่พบได้ในหลายชนิดอาหาร แต่ร่างกายอาจไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้ทั้งหมด มีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย

  • วิตามินดี: วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น การได้รับแสงแดดเพียงพอ หรือการบริโภคอาหารที่มีวิตามินดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมแคลเซียม
  • กรดออกซาลิก และไฟเตท: สารออกซาลิกที่พบในผักบางชนิด เช่น ผักปวยเล้ง และกรดไฟเตทที่พบในธัญพืชบางชนิด สามารถจับแคลเซียม และทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้อย่างเต็มที่
  • โปรตีน และโซเดียม: การบริโภคโปรตีน และโซเดียมในปริมาณที่สูงอาจเพิ่มการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม

แคลเซียมแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายควรได้รับในปริมาณที่พอเพียง เพื่อเป็นตัวช่วยในการบำรุงกระดูกและฟัน รวมไปถึงบำรุงร่างกาย ตลอดจนอวัยวะต่างๆ ทั้งระบบประสาท, ระบบหัวใจ, หลอดเลือดและอื่นๆ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงจากแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่น นม ผักใบเขียว และปลาที่สามารถบริโภคกระดูกได้ การได้รับแคลเซียมจากอาหารธรรมชาติจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

รู้หรือไม่?

แคลเซียมไม่เพียงแต่สำคัญต่อกระดูกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวได้อย่างถูกต้อง การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม และผักใบเขียว ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีทุกระบบโดยรวม ไม่ใช่แค่เรื่องกระดูกอย่างเดียว

เรื่องแนะนำ

บทความแนะนำ