2 เมษายน 2568

คอลลาเจน (Collagen) เสริมสร้างความแข็งแรง และความยืดหยุ่นให้ผิวหนังและอวัยวะ

สรุปโดยย่อ: คอลลาเจนคือโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น และข้อแข็งแรงและยืดหยุ่น ในร่างกายมีหลายประเภทของคอลลาเจน ซึ่งแต่ละประเภทก็ทำงานต่างกัน เช่น คอลลาเจนประเภทที่ 1 ช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดริ้วรอย ส่วนคอลลาเจนประเภทที่ 2 ช่วยให้ข้อมีความยืดหยุ่นและลดการบาดเจ็บ การดูแลสุขภาพด้วยการหลีกเลี่ยงแสงแดด การไม่สูบบุหรี่ และการออกกำลังกายสม่ำเสมอก็ช่วยให้คอลลาเจนในร่างกายอยู่ในระดับที่ดีขึ้น
สารบัญเนื้อหา

คอลลาเจน (Collagen) คือชื่อเรียกของเส้นใยโปรตีน ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนัง ขน เส้นผม กระดูก ที่ร่างกายของมนุษย์สามารถสร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติ โดยมีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ข้อต่อกระดูก, กระดูกอ่อน, เส้นเอ็น, กระดูกบริเวณส่วนต่างๆ และหลอดเลือด

ร่างกายของมนุษย์นั้น สามารถผลิตคอลลาเจนออกมาในปริมาณมากในช่วงที่อายุยังน้อย และจะค่อยๆ ลดการผลิตคอลลาเจน เมื่อเติบโตมากขึ้น กลายเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมผิวพรรณของคนเราถึงได้มีริ้วรอยเหี่ยวย่น ขาดความยืดหยุ่น และชุ่มชื้น เมื่ออายุมากขึ้น รวมไปถึงทำไมเมื่อแก่ตัว กระดูกของผู้สูงอายุถึงมีความเปราะบาง หรือเสื่อมสภาพได้ง่ายมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ

ประเภทของคอลลาเจน

จริงๆ แล้ว คอลลาเจนทั้งหมดที่พบได้โดยทั่วไปมีถึง 28 ประเภทที่ได้รับการระบุและศึกษา แต่มีคอลลาเจนที่มีความจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์เพียง 5 ประเภท นั่นก็คือประเภทที่ 1, 2, 3, 5 และ 10

คอลลาเจนประเภทที่ 1

คอลลาเจนที่พบได้มากในร่างกายมนุษย์ เกิดจากอีโอสิโนฟิลไฟเบอร์ มีส่วนช่วยเสริมสร้างกระดูก ช่วยคงความยืดหยุ่นให้กับผิวหน้า ผิวกาย ทำหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อบริเวณส่วนต่างๆ ไม่ให้ฉีดขาดจากกัน โดยเป็นคอลลาเจนที่สามารถพบได้มากในระบบทางเดินทางอาหาร

  • ลักษณะ: คอลลาเจนประเภทที่ 1 เป็นชนิดที่แข็งแรงและมีเส้นใยที่หนาแน่น เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
  • ตำแหน่ง: พบได้มากในผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น และกระดูกอ่อนที่มีความแข็งแรงสูง
  • บทบาท:
      • ผิวหนัง: ช่วยให้ผิวหนังมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ช่วยลดการเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
      • กระดูก: เสริมความแข็งแรงของกระดูก ช่วยให้กระดูกสามารถรับน้ำหนักและแรงกระแทกได้ดี
      • เส้นเอ็น: ช่วยให้เส้นเอ็นมีความแข็งแรงและทนทานต่อการยืดและแรงดึง

คอลลาเจนประเภทที่ 2

คอลลาเจนประเภทนี้ เป็นคอลลาเจนที่ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างกระดูกอ่อนให้แข็งแรง สามารถพบได้บริเวณเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการป้องกันข้อต่อในส่วนต่างๆ จากอาการบาดเจ็บ และช่วยป้องกันโรคไขข้อได้

  • ลักษณะ: คอลลาเจนประเภทที่ 2 มีลักษณะเป็นเส้นใยที่บางและมีความยืดหยุ่นสูง
  • ตำแหน่ง: พบในกระดูกอ่อน เช่น ข้อเข่า ข้อศอก และกระดูกอ่อนในช่องปาก
  • บทบาท:
    • กระดูกอ่อน: ช่วยให้กระดูกอ่อนมีความยืดหยุ่นและสามารถรับแรงกระแทกได้ดี ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อเป็นไปอย่างราบรื่น

คอลลาเจนประเภทที่ 3

คอลลาเจนที่ถูกผลิตขึ้นมาจากเส้นใยร่างแหภายนอกเซลล์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างอวัยะและผิวหนังของมนุษย์ ทำหน้าที่ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและกระชับ อีกทั้งยังป้องกันให้เกิดภาวะเส้นเลือดแตกได้ดี

  • ลักษณะ: คอลลาเจนประเภทที่ 3 มีเส้นใยที่บางและมีความยืดหยุ่นสูง คล้ายกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 แต่มีบทบาทเสริม
  • ตำแหน่ง: พบในผิวหนัง เส้นเลือด และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่นๆ
  • บทบาท:
    • ผิวหนัง: เสริมสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิวหนัง ทำให้ผิวดูสุขภาพดีและเต่งตึง
    • เส้นเลือด: ช่วยรักษาความแข็งแรงของผนังเส้นเลือด ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง

คอลลาเจนประเภทที่ 4

  • ลักษณะ: คอลลาเจนประเภทที่ 4 มีลักษณะเป็นตาข่ายและไม่มีเส้นใยยาวเหมือนประเภทที่ 1 หรือ 3
  • ตำแหน่ง: พบในเยื่อหุ้มเซลล์และฐานของเยื่อบุผิว
  • บทบาท:
    • เยื่อบุผิว: ช่วยให้เยื่อบุผิวมีความแข็งแรงและเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการยึดติดของเซลล์

คอลลาเจนประเภทที่ 5

เป็นคอลลาเจนที่มีความสำคัญในการเสริมสร้างพื้นผิวของเซลล์ รวมไปถึงเส้นผม โดยพบได้ในรกของสตรี ในช่วงที่อวัยวะกำลังพัฒนามดลูกระหว่างตั้งครรภ์

  • ลักษณะ: คอลลาเจนประเภทที่ 5 เป็นชนิดที่ทำงานร่วมกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 และ 3
  • ตำแหน่ง: พบในผิวหนัง เส้นเอ็น และกระดูกอ่อน
  • บทบาท:
    • ผิวหนังและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน: ช่วยในการสร้างเส้นใยคอลลาเจนขนาดเล็กที่เสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างต่างๆ

คอลลาเจนประเภทที่ 6

  • ลักษณะ: คอลลาเจนประเภทที่ 6 มีโครงสร้างที่เล็กกว่าคอลลาเจนประเภทที่ 1 และ 3
  • ตำแหน่ง: พบในผิวหนัง เส้นเอ็น และกระดูกอ่อน
  • บทบาท:
    • เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน: ช่วยให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันมีความยืดหยุ่นและความแข็งแรง

คอลลาเจนประเภทที่ 7

  • ลักษณะ: คอลลาเจนประเภทที่ 7 มีลักษณะเป็นเส้นใยที่สำคัญในการรักษาความสมบูรณ์ของเยื่อหุ้มผิว
  • ตำแหน่ง: พบในฐานเยื่อบุผิว
  • บทบาท:
    • เยื่อบุผิว: ช่วยให้เยื่อบุผิวยึดติดกับผิวหนังและมีความแข็งแรง

คอลลาเจนประเภทที่ 8

  • ลักษณะ: คอลลาเจนประเภทที่ 8 เป็นชนิดที่สำคัญต่อการรักษาความแข็งแรงของหลอดเลือด
  • ตำแหน่ง: พบในผนังหลอดเลือดและเยื่อหุ้มเซลล์
  • บทบาท:
    • หลอดเลือด: ช่วยในการรักษาความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด

คอลลาเจนประเภทที่ 9

  • ลักษณะ: คอลลาเจนประเภทที่ 9 ทำงานร่วมกับคอลลาเจนประเภทที่ 2
  • ตำแหน่ง: พบในกระดูกอ่อน
  • บทบาท:
    • กระดูกอ่อน: ช่วยให้กระดูกอ่อนมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น

คอลลาเจนประเภทที่ 10

คอลลาเจนประเภทนี้ ทำหน้าที่เสริมสร้างกระดูกใหม่และกระดูกอ่อนของข้อ มีประโยชน์ในเรื่องการรักษาอาการกระดูกแตก จึงสามารถฟื้นฟูและซ่อมแซมกระดูกในส่วนที่ชำรุด สึกหรอ หรือขาดหายได้อย่างรวดเร็ว

  • ลักษณะ: คอลลาเจนประเภทที่ 10 มีบทบาทในการพัฒนากระดูกอ่อนในช่วงการเจริญเติบโต
  • ตำแหน่ง: พบในกระดูกอ่อนที่กำลังเจริญเติบโต
  • บทบาท:
    • กระดูกอ่อน: ช่วยในการพัฒนากระดูกอ่อนและการซ่อมแซม

นอกจากคอลลาเจนประเภทหลักที่กล่าวมา ยังมีคอลลาเจนประเภทอื่นๆ อีกหลายประเภทที่พบในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสมบูรณ์ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและโครงสร้างต่างๆ ของร่างกาย

หน้าที่ของคอลลาเจนในร่างกาย

คอลลาเจนมีบทบาทหลายประการในร่างกาย ได้แก่

  1. สนับสนุนโครงสร้างของผิวหนัง: คอลลาเจนช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและความแข็งแรง ช่วยให้ผิวหนังเรียบเนียนและลดความหยาบกร้าน
  2. เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและข้อ: คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญในกระดูกและข้อ ช่วยให้มีความแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ
  3. ช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ: คอลลาเจนมีบทบาทในการฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย ช่วยให้การบาดเจ็บหายเร็วขึ้น

คอลลาเจนทำให้ผิวขาวได้ไหม

การรับประทานคอลลาเจนหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคอลลาเจนอาจมีผลต่อความสว่างและสุขภาพของผิวหนัง คอลลาเจนสามารถช่วยทำให้ผิวดูสดใสและมีสุขภาพดีขึ้นได้โดยการเพิ่มความชุ่มชื้นและลดริ้วรอย แต่ไม่สามารถทำให้ผิวขาวขึ้นได้โดยตรง

วิธีที่คอลลาเจนอาจมีผลต่อสีผิว

  1. การปรับปรุงความชุ่มชื้นของผิว: คอลลาเจนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในผิวหนัง ซึ่งสามารถทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและสดใสมากขึ้น ผิวที่ชุ่มชื้นและมีสุขภาพดีมักดูสว่างและเป็นธรรมชาติมากกว่า
  2. ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ: การเพิ่มคอลลาเจนในผิวหนังสามารถช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวดูเรียบเนียน การลดริ้วรอยและจุดด่างดำทำให้ผิวดูสว่างขึ้นได้ เนื่องจากไม่มีรอยเหี่ยวย่นหรือจุดด่างดำมาขัดขวางความสว่างของผิว
  3. เสริมสร้างความแข็งแรงของผิว: คอลลาเจนช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น การมีผิวที่แข็งแรงช่วยลดการเกิดปัญหาเช่น ผิวลอกหรือแห้ง ซึ่งอาจทำให้ผิวดูหมองคล้ำ
  4. ลดการสร้างเมลานิน: แม้ว่าคอลลาเจนเองจะไม่ลดการสร้างเมลานิน แต่การมีผิวที่แข็งแรงและชุ่มชื้นอาจช่วยลดการเกิดปัญหาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ หรือการสร้างจุดด่างดำที่ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ
  5. ลดการทำลายของเซลล์ผิว: การป้องกันจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดดและมลภาวะ โดยการเสริมคอลลาเจนทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ซึ่งอาจช่วยป้องกันการเกิดสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ

แหล่งอาหารที่มีคอลลาเจน

การรับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนสูงสามารถช่วยเสริมสร้างปริมาณคอลลาเจนในร่างกายได้ อาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจน ได้แก่

  1. น้ำซุปกระดูก: น้ำซุปที่ทำจากกระดูกมีคอลลาเจนสูง เนื่องจากกระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ใช้ในการต้มจะปล่อยคอลลาเจนออกมา
  2. เนื้อสัตว์: เนื้อสัตว์บางชนิด เช่น เนื้อหมู ไก่ และเนื้อวัว โดยเฉพาะส่วนที่มีเส้นใยคอลลาเจนสูง เช่น เอ็น และหนัง
  3. ปลา: ปลาและอาหารทะเลมีคอลลาเจนอยู่ในส่วนของหนังและเนื้อที่ติดกับกระดูก
  4. อาหารเสริมคอลลาเจน: ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนชนิดต่างๆ ซึ่งสามารถเลือกใช้ตามความต้องการ
  5. น้ำมะพร้าว: น้ำมะพร้าวไม่เพียงแต่มีสารอาหารมากมาย แต่ยังช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย
  6. ชาสมุนไพร: ชาสมุนไพรบางชนิด เช่น ชาเขียวและชาคาโมไมล์ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย

การรับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนสูงเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างปริมาณคอลลาเจนในร่างกาย อย่างไรก็ตาม คอลลาเจนในอาหารอาจถูกย่อยสลายระหว่างการย่อยอาหาร ดังนั้น การทานอาหารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม เบอร์รี่ และผักใบเขียว ช่วยในการสร้างคอลลาเจน เนื่องจากวิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย

การรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจน

อาหารเสริมคอลลาเจนมีความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และหลายคนเชื่อว่าการทานอาหารเสริมคอลลาเจนสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิว กระดูก ข้อ และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน แต่คำถามคือ อาหารเสริมคอลลาเจนช่วยได้จริงไหม? มาดูข้อเท็จจริงและข้อมูลสำคัญกัน

ประโยชน์ของอาหารเสริมคอลลาเจน

  1. สนับสนุนสุขภาพผิว: หลายการศึกษาแสดงให้เห็นว่าอาหารเสริมคอลลาเจนสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดการเกิดริ้วรอย และปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิวได้ อาหารเสริมคอลลาเจนบางชนิดมีผลต่อการลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น
  2. ช่วยในการรักษาความแข็งแรงของกระดูกและข้อ: การศึกษาแสดงว่าอาหารเสริมคอลลาเจนอาจช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและลดอาการเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับข้อ โดยเฉพาะในคนที่มีปัญหาข้อเข่าและข้ออื่นๆ
  3. สนับสนุนการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ: อาหารเสริมคอลลาเจนสามารถช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย และเสริมสร้างกระดูกอ่อน โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาบาดเจ็บหรือการอักเสบของข้อ

ความสำคัญของการย่อยและการดูดซึม

คอลลาเจนในอาหารเสริมมักจะถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ในระบบทางเดินอาหาร ก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด การศึกษาแสดงว่าเปปไทด์คอลลาเจนที่มีขนาดเล็กสามารถผ่านเข้าสู่ผิวหนังและเนื้อเยื่ออื่นๆ ได้ แต่ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล

ข้อพิจารณาในการเลือกใช้

  1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ: การเลือกอาหารเสริมคอลลาเจนจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและการทดสอบคุณภาพจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
  2. การทำงานร่วมกับการรับประทานอาหาร: อาหารเสริมคอลลาเจนจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับการรับประทานอาหารที่สมดุล และการดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามิน C และการออกกำลังกาย
  3. ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไป: ผลลัพธ์จากการทานอาหารเสริมคอลลาเจนอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล และอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนในการเห็นผล

อาหารเสริมคอลลาเจนสามารถช่วยเสริมสุขภาพผิว กระดูก และข้อได้จริง แต่ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและใช้ร่วมกับการดูแลสุขภาพที่ดี เช่น การรับประทานอาหารที่มีคุณค่าและการออกกำลังกายเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การฉีดคอลลาเจนบำรุงผิว

นอกจากคอลลาเจนแบบรับประทานที่มีวางขายกันตามท้องตลาดแล้ว ยังมีการฉีดคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายด้วยคำโฆษณาที่เคลมว่าจะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ขาวสว่างกระจ่างใส และบำรุงร่างกายในการป้องกันโรคต่างๆ ได้ แต่จริงๆ แล้วการฉีดคอลลาเจนประเภทนี้เข้าสู่ร่างกายนั้น เป็นการฉีดคอลลาเจนที่สกัดมาจากวัวเพื่อเติมเต็มผิวในส่วนที่มีร่องรอยต่างๆ ซึ่งปัจจุบันได้มีการยกเลิกไปแล้ว เพราะมีอัตราของผู้แพ้คอลลาเจนชนิดนี้ค่อนข้างสูง ทำให้ในเวลาต่อมา ได้มีการเปลี่ยนจากคอลลาเจนสกัดจากวัว เป็นคอลลาเจนแบบสังเคราะห์หรือที่เรียกว่าสารเติมเต็มทดแทน

การทาคอลลาเจน

มีการยืนยันออกมาแล้วว่า การทาคอลลาเจนบนผิวหนังเพื่อบำรุงผิวตามสรรพคุณที่กล่าวอ้างเอาไว้นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะคอลลาเจนนั้นไม่สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้แต่อย่างใด เนื่องด้วยโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่มากกว่ารูขุมขน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นในการซื้อผลิตภัณฑ์คอลลาเจนสำหรับทาผิว มาใช้เพื่อบำรุงผิวหรือเติมเต็มผิวอย่างที่มีการกล่าวอ้างในโฆษณา

ทำอย่างไรให้คอลลาเจนในร่างกายอยู่ในระดับดี

การรักษาระดับคอลลาเจนในร่างกายสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้คอลลาเจนในผิวหนังถูกทำลาย การไม่สูบบุหรี่และการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ก็สามารถช่วยรักษาคอลลาเจนในร่างกายให้คงอยู่ได้นาน

  • การออกกำลังกายเป็นประจำ ก็มีบทบาทสำคัญในการรักษาความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โดยช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย
  • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารสกัดจากคอลลาเจน ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อาจช่วยเสริมการดูแลผิวพรรณให้ดียิ่งขึ้น

ผลกระทบหากร่างกายขาดคอลลาเจน

ผลกระทบที่อาจจะพบได้หากร่างกายขาดคอลลาเจน มีดังต่อไปนี้

  1. เกิดริ้วรอยบนผิวหนังได้ง่าย
  2. ผิวหนังเหี่ยวย่น เกิดความหย่อนคล้อย มีตีนกาบริเวณหางตา หน้าดูแก่เกินวัย
  3. กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพ หรืออาจจะส่งให้กระดูกเปราะ และแตกหักง่าย
  4. มีความเสี่ยงในการเป็นโรคข้อเสื่อม

ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายขาดคอลลาเจน

  1. อายุมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ร่างกายไม่สามารถผลิตคอลลาเจนได้ตามธรรมชาติ
  2. รังสี UV จากแสงแดด ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตคอลลาเจนลดน้อยลง
  3. รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่
  4. ความเครียด
  5. ดื่มแอลกอฮอลล์
  6. สูบบุหรี่
  7. พักผ่อนไม่เพียงพอ

การตากแดดกับปริมาณคอลลาเจนที่ลดลง

การสัมผัสแสงแดดมากเกินไปสามารถทำให้ระดับคอลลาเจนในผิวหนังลดลงได้จริง การสัมผัสกับแสงแดด โดยเฉพาะแสงยูวี (UV) จะทำให้เกิดการทำลายคอลลาเจนในผิวหนังได้หลายวิธี:

การทำลายคอลลาเจนจากแสงแดด

  1. การทำลายโดยตรงของแสงยูวี: แสงยูวีจากดวงอาทิตย์สามารถทำลายเส้นใยคอลลาเจนในผิวหนังได้โดยตรง ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอย
  2. การกระตุ้นการผลิตอนุมูลอิสระ: แสงยูวีทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารที่ทำลายเซลล์และโปรตีนในผิวหนัง รวมถึงคอลลาเจน ส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพและลดลง
  3. การกระตุ้นการผลิตเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจน: แสงยูวีสามารถกระตุ้นการผลิตเอนไซม์ที่เรียกว่า มาตริกเมทัลโลโปรตีนเนส (MMPs) ซึ่งทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนัง

ผลกระทบจากการลดลงของคอลลาเจน

เมื่อคอลลาเจนในผิวหนังลดลง จะทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นน้อยลง เกิดริ้วรอย และผิวหนังอาจจะดูหมองคล้ำและเหี่ยวย่นมากขึ้น การลดลงของคอลลาเจนยังส่งผลต่อความแข็งแรงและความสุขภาพของผิวหนังโดยรวม

วิธีป้องกัน

เพื่อป้องกันการทำลายคอลลาเจนจากแสงแดด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งในช่วงเวลาที่แดดจัด และสวมเสื้อผ้าที่ปกป้องผิวจากแสงแดด การดูแลผิวอย่างถูกต้องสามารถช่วยรักษาคอลลาเจนในผิวหนังให้คงอยู่ได้นานขึ้นและลดการเกิดริ้วรอยจากแสงแดด

คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อการรักษาความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อในร่างกาย การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนและสารอาหารที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น วิตามิน C และโปรตีน สามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รู้หรือไม่?

การทานอาหารที่อุดมด้วยคอลลาเจน + วิตามินซี ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มคอลลาเจนให้กับร่างกาย เพราะจะให้ทั้งคอลลาเจนและสารอาหารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งส่งผลให้ผิวหนัง กระดูก และข้อมีความแข็งแรงและสุขภาพดีอย่างมีประสิทธิภาพ

เรื่องแนะนำ

บทความแนะนำ