กลูโคส (Glucose) หรือที่เรียกว่า เด็กซ์โทรส (Dextose) เป็นน้ำตาลที่พบได้ในสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โดยมีลักษณะเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว และเป็นสารตั้งต้นของการผลิตพลังงานที่นำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งมีลักษณะเป็นของแข็งสีขาว สามารถพบได้ในผลไม้ที่มีรสชาติหวาน เช่น องุ่น หรืออาหารที่มีรสหวานอื่นๆ เช่น ข้าวโพด และน้ำผึ้ง เมื่อกินแล้ว ลำไส้จะทำการดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่านกระบวนย่อยสลายแต่อย่างใด
แหล่งอาหารที่สามารถพบกลูโคส
อาหารที่สามารถพบน้ำตาลกลูโคสได้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นอาหารที่มีรสชาติหวานเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น องุ่นเขียว, น้อยหน่าฝรั่ง, ขนุน, กล้วยน้ำว้า, มะขามหวานสีทอง, แอปเปิ้ล, กล้วยหอม, ลองกอง, ลิ้นจี่, กล้วยไข่, เชอร์รี่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถพบได้ในอาหารจำพวกน้ำผึ้ง และข้าวโพด
หลักการทำงานจองกลูโคส
- เมื่อบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง หรือผลไม้ ร่างกายจะทำการย่อยคาร์โบไฮเดรตให้เป็นกลูโคส
- กลูโคสที่ได้จากกระบวนการย่อยคาร์โบไฮเดรตจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด
- ร่างกายสามารถใช้กลูโคสนี้ในการสร้างพลังงานเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ทันที
- หากร่างกายไม่ใช้กลูโคสทั้งหมด กลูโคสที่เหลือจะถูกเก็บสะสมในรูปของไกลโคเจนในตับและกล้ามเนื้อ
- ไกลโคเจนจะถูกแปลงกลับเป็นกลูโคสเมื่อร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มเติม เช่น ในช่วงที่ออกกำลังกายหรือไม่ได้รับคาร์โบไฮเดรตจากอาหาร
น้ำตาลกลูโคสกับโรคเบาหวาน
เนื่องจากน้ำตาลกลูโคสเป็นสารที่ให้ความหวาน จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังป่วยเป็นโรคบางชนิด ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการกินหวาน เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณพลังงานของน้ำตาลเกินความจำเป็นที่ควรได้รับ แต่สำหรับในบุคคลทั่วไปแล้ว การกินกลูโคสในปริมาณที่พอเพียงนั้น ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่อ่อนเพลียง่าย ไม่รู้สึกกระปรี้กระเปร่า
น้ำตากลูโคสที่มีความสำคัญกับเลือดและสมอง
สมอง จัดเป็นอวัยวะที่จำเป็นต้องได้รับปริมาณน้ำตาลกลูโคสอย่างต่อเนื่อง เพราะเซลล์สมองนั้น ไม่สามารถนำเอาโปรตีนหรือไขมันที่ได้รับมาเป็นแหล่งพลังงานหลักได้ จึงจำเป็นต้องบริโภคกลูโคสให้เพียงพอในปริมาณที่สมองควรจะได้รับ หากระดับกลูโคสในเลือดลดลงมากกว่าปกติ จะส่งผลให้กลูโคสลำเลียงเข้าสู่สมองได้ช้า ทำให้เกิดภาวะสมองขาดกลูโคสหรือขาดพลังงานตามมา ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการอ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะง่าย อ่อนแรง ใจหวิว ใจสั่น หน้ามืด เหงื่อออก ซึมเศร้า และปวดศีรษะ ดังนั้นร่างกายควรรักษาระดับของน้ำตาลกลูโคสในเลือดให้เป็นปกติ (80-100 mg/dl)
นอกจากบทบาทในการสร้างพลังงานแล้ว กลูโคสยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการสร้างสารอื่นๆ ที่ร่างกายต้องการ เช่น การสร้างกรดไขมันและกรดอะมิโน ซึ่งสารเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย
การควบคุมระดับกลูโคสในเลือด
กระบวนการควบคุมระดับกลูโคสในเลือดมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากระดับกลูโคสในเลือดมีผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ฮอร์โมนที่มีบทบาทในการควบคุมระดับกลูโคสที่สำคัญคือ อินซูลิน อินซูลินทำหน้าที่นำกลูโคสจากเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน กระบวนการนี้ช่วยให้ร่างกายสามารถควบคุมระดับกลูโคสในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการทำงานของร่างกาย
การควบคุมการบริโภคกลูโคสมีความสำคัญในด้านโภชนาการ การเลือกบริโภคอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ผัก และผลไม้บางชนิด จะช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากกลูโคสอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง การบริโภคอาหารเหล่านี้ช่วยรักษาระดับกลูโคสในเลือดให้คงที่ และลดการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของกลูโคสในเลือด ซึ่งส่งผลดีต่อการทำงานของร่างกายและการเผาผลาญพลังงาน
อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ
เช่น ผักใบเขียว และธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี มีบทบาทในการช่วยควบคุมระดับกลูโคสในเลือด นอกจากนี้ การเลือกบริโภคอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงยังช่วยชะลอการดูดซึมกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับกลูโคสในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง การรักษาสมดุลของระดับกลูโคสในเลือดมีผลต่อการควบคุมความหิว และช่วยให้ร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
การออกกำลังกาย เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานจากกลูโคสอย่างมีประสิทธิภาพ การเคลื่อนไหวร่างกายไม่เพียงแค่ช่วยให้ร่างกายใช้กลูโคสเพื่อสร้างพลังงาน แต่ยังช่วยในการควบคุมระดับกลูโคสในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มความสามารถในการสะสมไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายสามารถเก็บพลังงานสำรองได้มากขึ้น และใช้ในเวลาที่จำเป็น
น้ำตาลกลูโคสที่มีความสำคัญกับนักกีฬา
น้ำตาลกลูโคส เป็นสารที่มีความสำคัญในการเพิ่มพลังงานให้กับการทำกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องใช้พละกำลังเป็นส่วนใหญ่ เช่น นักวิ่ง นักกีฬาประเภทต่างๆ ตลอดจนกรรมกร หรือใครก็ตามที่ต้องการเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายเพื่อทำกิจกรรมบางอย่าง โดยบุคคลทั่วไปนั้นอาจจะผสมผงกลูโคสกับเครื่องดื่มต่างๆ เช่น ชา กาแฟ นม หรือน้ำผลไม้ ในปริมาณที่พอเพียง หรือสามารถใส่เป็นเครื่องปรุงในมื้ออาหารต่างๆ ได้
แต่สำหรับนักกีฬาที่ต้องใช้กำลังกายอย่างหนักในการเล่นกีฬา หรือฝึกซ้อม สามารถละลายผงกลูโคส 1-2 ช้อนโต๊ะกับน้ำเปล่า 1 ลิตร ดื่มเพื่อเติมพลังงานให้ร่างกายก่อนเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้ เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำหรือเกลือแร่ของร่างกาย และเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานที่พอเพียงในการเล่นกีฬาหรือกิจกรรมนั้นๆ ข้อสำคัญในการดื่มผงกลูโคสผสมน้ำเปล่าในนักกีฬา ต้องสังเกตให้รสชาติหลังจากชงแล้ว ไม่หวานหรือเข้มข้นจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ช้าลง และทำให้หิวน้ำมากขึ้น
ปริมาณกลูโคสที่แนะนำในช่วงอายุต่างๆ
ปริมาณกลูโคสที่แนะนำให้บริโภคต่อวันนั้นขึ้นอยู่กับช่วงอายุ โดยกลูโคสเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกายและสมอง ในวัยเด็ก ความต้องการพลังงานจะสูงขึ้นเนื่องจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ ความต้องการกลูโคสก็จะเพิ่มขึ้นตามการเผาผลาญพลังงานที่มากขึ้น ในวัยสูงอายุ ปริมาณการบริโภคกลูโคสที่แนะนำจะลดลง เนื่องจากการใช้พลังงานลดลง
ช่วงอายุ (ปี) | ปริมาณกลูโคสที่แนะนำต่อวัน (กรัม) |
---|---|
1-3 | 80-120 |
4-8 | 130-170 |
9-13 | 180-220 |
14-18 | 230-270 |
19-30 | 250-300 |
31-50 | 240-290 |
51 ขึ้นไป | 200-250 |
การกินน้ำตาลกลูโคสให้เกิดประโยชน์กับร่างกายนั้น จำเป็นต้องกินในปริมาณที่พอเพียงและพอเหมาะ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะส่งผลให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ ดังนั้น ควรคำนวณปริมาณที่จำเป็นต้องกินให้ดีก่อน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกับร่างกายมากที่สุด