21 พฤศจิกายน 2567

ชาเขียว (Green Tea) เครื่องดื่มยอดนิยม มีสารอาหารและประโยชน์หลากหลาย ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น

ชาเขียว (Green Tea)
สรุปโดยย่อ: ชาเขียว (Green Tea) เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น คาเทชิน สารต้านอนุมูลอิสระ คาเฟอีน และแร่ธาตุ ช่วยเสริมการทำงานของสมอง ปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณ และเพิ่มความผ่อนคลาย ชาเขียวยังมีกรดอะมิโน L-theanine ที่ช่วยลดความเครียด ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
สารบัญเนื้อหา

ชาเขียว (Green Tea) เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และจีน ชาเขียวมีกระบวนการผลิตที่แตกต่างจากชาดำ เพราะใบชาจะไม่ผ่านกระบวนการหมัก ทำให้คงสารอาหารที่มีประโยชน์ไว้อย่างเต็มที่ สารอาหารเหล่านี้มีความสำคัญต่อการบำรุงร่างกายในหลายด้าน ซึ่งบทความนี้จะอธิบายถึงสารอาหารหลักที่พบในชาเขียว และคุณประโยชน์ของสารอาหารเหล่านั้น

สารอาหารในชาเขียว

ชาเขียวมีสารอาหารหลากหลายชนิดที่มีคุณค่าต่อร่างกาย สารอาหารหลักที่พบในชาเขียวประกอบด้วยคาเทชิน (Catechins) สารต้านอนุมูลอิสระ คาเฟอีน วิตามิน และแร่ธาตุ สารเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนสุขภาพ และทำให้ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มาก

1. คาเทชิน (Catechins)

คาเทชินเป็นสารโพลีฟีนอลชนิดหนึ่งที่พบมากในชาเขียว โดยเฉพาะสาร EGCG (Epigallocatechin gallate) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง คาเทชินช่วยลดการสะสมของอนุมูลอิสระในร่างกาย อนุมูลอิสระเป็นสารที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย และการสัมผัสกับมลภาวะภายนอก คาเทชินจึงมีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย และช่วยรักษาความสมดุลของระบบต่างๆ ในร่างกาย

2. คาเฟอีน (Caffeine)

แม้ว่าในชาเขียวจะมีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟ แต่คาเฟอีนในชาเขียวก็มีปริมาณที่เพียงพอที่จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง คาเฟอีนช่วยเพิ่มความตื่นตัว ช่วยให้สมาธิในการทำงานดีขึ้น และช่วยเพิ่มพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ คาเฟอีนในชาเขียวยังมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากคาเฟอีนในกาแฟ เนื่องจากมีการทำงานร่วมกับสาร L-theanine ซึ่งช่วยลดความเครียด และช่วยให้จิตใจสงบ ส่งผลให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

L-theanine คือ กรดอะมิโนที่พบมากในชาเขียว ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย โดยไม่ทำให้รู้สึกง่วง ช่วยลดความเครียด และเพิ่มสมาธิ ทำงานควบคู่กับคาเฟอีนในชาเขียว ทำให้ตื่นตัวแต่ไม่กระสับกระส่ายเหมือนการดื่มกาแฟ

ชาเขียวมีคาเฟอีน

แต่ปริมาณคาเฟอีนในชาเขียวจะน้อยกว่ากาแฟ โดยทั่วไปชาเขียวหนึ่งแก้ว (ประมาณ 240 มิลลิลิตร) จะมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 20-45 มิลลิกรัม ในขณะที่กาแฟหนึ่งแก้วมีคาเฟอีนประมาณ 95-200 มิลลิกรัม ซึ่งหมายความว่าคาเฟอีนในชาเขียวมีปริมาณที่เพียงพอที่จะช่วยให้รู้สึกตื่นตัว แต่ไม่มากพอที่จะทำให้เกิดความกระวนกระวายหรือกระสับกระส่ายเหมือนการดื่มกาแฟ

ปริมาณคาเฟอีนในชาเขียวอาจแตกต่างกันตามชนิดของชาเขียว และวิธีการชง เช่น ชาเขียวที่ชงด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิสูงหรือนานเกินไปอาจมีคาเฟอีนมากขึ้น ดังนั้นการดื่มชาเขียวในปริมาณที่เหมาะสมมักจะไม่มีผลข้างเคียงจากคาเฟอีน

3. สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)

นอกจากคาเทชินแล้ว ชาเขียวยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ที่มีบทบาทในการปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย และป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ วิตามินซีในชาเขียวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความสำคัญ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ วิตามินอียังมีบทบาทในการบำรุงผิวพรรณ และลดความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ

4. แร่ธาตุ (Minerals)

ชาเขียวมีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แมงกานีส โครเมียม และสังกะสี แมงกานีสมีบทบาทในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก และสนับสนุนกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย โครเมียมช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และสนับสนุนกระบวนการเผาผลาญพลังงาน ส่วนสังกะสีเป็นแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยในการฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหาย

5. วิตามิน (Vitamins)

วิตามินในชาเขียวมีหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ เช่น วิตามินซี วิตามินบี วิตามินซีมีคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสขึ้น ส่วนวิตามินบีเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท และระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกาย

6. กรดอะมิโน (Amino Acids)

ชาเขียวมีกรดอะมิโนสำคัญชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า L-theanine กรดอะมิโนนี้ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย ลดความเครียด และช่วยให้สมาธิดีขึ้น ทำงานควบคู่กับคาเฟอีนในการกระตุ้นสมอง โดยไม่ทำให้เกิดความตื่นเต้นเกินไป L-theanine ยังมีบทบาทในการเพิ่มการสร้างสารสื่อประสาทบางชนิดที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย และสงบ

7. สารโพลีฟีนอลอื่นๆ (Other Polyphenols)

ชาเขียวยังมีสารโพลีฟีนอลชนิดอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เช่น ฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยในการบำรุงหัวใจ และการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด สารเหล่านี้ยังช่วยในการลดการอักเสบ และสนับสนุนการฟื้นฟูเซลล์ในร่างกาย

ตารางปริมาณเคเฟอีนของเครื่องดื่ม

ชื่อเครื่องดื่ม หน่วยบริโภค ปริมาณคาเฟอีนใน 1 แก้ว  ระดับคาเฟอีน
กาแฟเอสเปรสโซ่ 1 แก้ว (30 มล.) 64 มก. สูง
กาแฟดำ 1 แก้ว (240 มล.) 95 มก. สูง
กาแฟอเมริกาโน่ 1 แก้ว (240 มล.) 154 มก. สูง
กาแฟสกัดเย็น (Cold Brew) 1 แก้ว (240 มล.) 200 มก. สูง
กาแฟลาเต้ 1 แก้ว (240 มล.) 75 มก. กลาง
กาแฟมอคค่า 1 แก้ว (240 มล.) 80 มก. กลาง
ชาเขียว (มัทฉะ) 1 แก้ว (240 มล.) 70 มก. กลาง
ชาเขียว (ธรรมดา) 1 แก้ว (240 มล.) 30 มก. ต่ำ
ชาอู่หลง 1 แก้ว (240 มล.) 37 มก. ต่ำ
ชาแดง (ชาดำ) 1 แก้ว (240 มล.) 47 มก. กลาง
ชานมไข่มุก 1 แก้ว (240 มล.) 45 มก. กลาง
เครื่องดื่มชูกำลัง 1 กระป๋อง (250 มล.) 80 มก. สูง
โกโก้ร้อน 1 แก้ว (240 มล.) 12 มก. ต่ำ
ช็อกโกแลตร้อน 1 แก้ว (240 มล.) 5 มก. ต่ำ
เป๊ปซี่ 1 กระป๋อง (355 มล.) 38 มก. กลาง
โค้ก 1 กระป๋อง (355 มล.) 34 มก. ต่ำ
ชาเย็น 1 แก้ว (240 มล.) 30 มก. ต่ำ
เครื่องดื่มโปรตีนแบบผสมกาแฟ 1 แก้ว (240 มล.) 50 มก. กลาง
กาแฟดีแคฟ (Decaf) 1 แก้ว (240 มล.) 5 มก. ต่ำ
น้ำอัดลมประเภทอื่นๆ 1 กระป๋อง (355 มล.) 10 มก. ต่ำ

ประโยชน์ของชาเขียวต่อสุขภาพ

ชาเขียวไม่ได้มีเพียงรสชาติที่หอมละมุนเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งของสารอาหารที่มีคุณค่ามากมาย การดื่มชาเขียวเป็นประจำในปริมาณที่เหมาะสมสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพในหลายๆ ด้าน เช่น การบำรุงผิวพรรณ การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และการสนับสนุนการทำงานของสมอง สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวช่วยปกป้องร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และลดความเสี่ยงจากการเสื่อมสภาพของเซลล์

นอกจากประโยชน์ที่ได้รับจากการดื่มชาเขียวแล้ว ชาเขียวยังสามารถนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เช่น ครีม โลชั่น และมาส์กหน้า เพื่อบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น และลดเลือนริ้วรอย สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวช่วยลดความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด และมลภาวะ อีกทั้งยังช่วยให้ผิวดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น

ชงชาเขียวอย่างไรให้ได้สารอาหารสูงสุด

วิธีการชงชาเขียวเพื่อให้ได้สารอาหารสูงสุด ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น อุณหภูมิของน้ำ เวลาในการชง และปริมาณใบชา โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. เลือกชาเขียวคุณภาพดี: ควรเลือกชาเขียวที่มีคุณภาพสูง เพื่อให้ได้สารอาหาร เช่น คาเทชินและสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมาก
  2. ใช้น้ำที่อุณหภูมิประมาณ 70-80°C: น้ำที่ร้อนเกินไปจะทำให้สารสำคัญในชาเสื่อมคุณภาพได้ ควรใช้น้ำอุณหภูมิปานกลาง เพื่อคงประสิทธิภาพของสารอาหาร เช่น คาเทชินและวิตามินซี
  3. ใช้ใบชาในปริมาณที่เหมาะสม: ปริมาณใบชาที่เหมาะสมคือประมาณ 1-2 ช้อนชาต่อน้ำ 200 มิลลิลิตร หากใช้มากเกินไปอาจทำให้รสขม
  4. แช่ใบชาเป็นเวลา 2-3 นาที: การแช่ใบชาประมาณ 2-3 นาทีจะช่วยให้สารอาหารออกมาอย่างเต็มที่ ควรหลีกเลี่ยงการแช่นานเกินไป เพราะอาจทำให้รสชาติขม
  5. ดื่มทันทีหลังจากชงเสร็จ: ชาเขียวที่ชงเสร็จใหม่ๆ จะมีสารอาหารที่คงตัวมากที่สุด การทิ้งไว้นานอาจทำให้สารต้านอนุมูลอิสระลดลง

ชาเขียวร้อน VS ชาเขียวเย็น

การดื่มชาเขียวร้อนหรือเย็นนั้นขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว และวัตถุประสงค์ในการดื่ม ทั้งสองรูปแบบมีประโยชน์และสารอาหารที่คล้ายคลึงกัน แต่มีข้อแตกต่างเล็กน้อยที่ควรพิจารณา

ชาเขียวร้อน

  • ชาเขียวร้อนเป็นรูปแบบที่นิยมใช้ในการดื่มเพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด ความร้อนช่วยสกัดสารอาหาร เช่น คาเทชิน และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การดื่มชาเขียวร้อนเหมาะสำหรับการผ่อนคลายจิตใจ และช่วยให้ร่างกายอบอุ่น โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเย็น

ชาเขียวเย็น

  • ชาเขียวเย็นเป็นทางเลือกที่สดชื่น เหมาะสำหรับการดื่มในวันที่อากาศร้อน หรือหลังออกกำลังกาย
  • ชาเขียวเย็นยังคงสารอาหาร เช่น คาเทชินและสารต้านอนุมูลอิสระ แต่การแช่เย็นอาจทำให้รสชาติอ่อนลงเล็กน้อย และสารอาหารบางส่วนอาจลดลง หากทำการแช่ไว้เป็นเวลานาน

ชาเขียวควรดื่มวันละกี่แก้วจึงจะพอดี

การดื่มชาเขียวในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากสารอาหารโดยไม่มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ โดยทั่วไปแล้วควรดื่มชาเขียวประมาณ 2-3 แก้วต่อวัน ซึ่งปริมาณนี้เพียงพอที่จะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระและคาเทชินในปริมาณที่ดีต่อสุขภาพ

อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังเรื่องปริมาณคาเฟอีนในชาเขียว หากดื่มมากเกินไป อาจส่งผลต่อการนอนหลับ หรือทำให้หัวใจเต้นเร็วได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน ควรลดปริมาณการดื่มในช่วงเย็นเพื่อไม่ให้รบกวนการนอน

ข้อควรระวังในการดื่มชาเขียว

แม้ว่าชาเขียวจะมีประโยชน์มากมาย แต่การดื่มในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น การได้รับคาเฟอีนมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการนอนหลับ และระบบประสาท ควรดื่มชาเขียวในปริมาณที่เหมาะสมต่อวันเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงการดื่มชาเขียวที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมากเกินไป เพราะอาจเพิ่มปริมาณแคลอรี่ที่ไม่จำเป็น

ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การดื่มชาเขียวเป็นประจำสามารถช่วยบำรุงสุขภาพได้หลายด้าน ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากสารอาหารอย่างเต็มที่

แหล่งอ้างอิง/งานวิจัย

  • เรื่อง: Green tea: A review of its benefits for weight management and cardiovascular health • เขียนโดย: Higdon, Jane V. - 2021
  • เรื่อง: Health benefits of green tea: A review • เขียนโดย: Cabrera, Carmen - 2020
  • เรื่อง: Effect of green tea on glucose control and insulin sensitivity: A systematic review • เขียนโดย: Hursel, R. - 2019

ชาเขียวมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก แต่ไม่ใช่เครื่องมือหลักในการลดน้ำหนัก ชาเขียวมีสารคาเทชิน (Catechins) และคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ ทำให้ร่างกายใช้พลังงานได้มากขึ้น ชาเขียวยังมีฤทธิ์ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อดื่มควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม การลดน้ำหนักที่ได้ผลดีต้องมาพร้อมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเป็นประจำ การดื่มชาเขียวเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้น้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ชาเขียวมีคาเฟอีนในปริมาณที่ไม่มากเท่ากาแฟ แต่ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกตื่นตัวและมีสมาธิมากขึ้น คาเฟอีนในชาเขียวทำงานร่วมกับกรดอะมิโน L-theanine ซึ่งช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและไม่กระวนกระวายเหมือนการดื่มกาแฟ ส่งผลให้สามารถโฟกัสและทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ L-theanine ยังช่วยลดความเครียดและเพิ่มการผลิตสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้รู้สึกสงบในขณะที่ยังคงมีความตื่นตัว

ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูง เช่น คาเทชินและวิตามินซี สารเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากมลภาวะและแสงแดด นอกจากนี้ สารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูสดใสและชุ่มชื้นมากขึ้น การดื่มชาเขียวเป็นประจำสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยและช่วยให้ผิวแข็งแรง แต่ผลลัพธ์อาจต้องใช้เวลาและควรควบคู่กับการดูแลผิวจากภายนอกด้วย

ชาเขียวอาจมีผลต่อการนอนหลับ หากดื่มในปริมาณมากหรือดื่มใกล้เวลานอน เนื่องจากชาเขียวมีคาเฟอีนซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่ช่วยให้ร่างกายตื่นตัว อย่างไรก็ตาม ปริมาณคาเฟอีนในชาเขียวน้อยกว่ากาแฟมาก และชาเขียวยังมี L-theanine ที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ ทำให้ชาเขียวไม่ทำให้รู้สึกตื่นตัวหรือกระสับกระส่ายเท่ากับกาแฟ ดังนั้น ถ้าต้องการดื่มชาเขียวในช่วงเย็น ควรเลือกดื่มในปริมาณน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนการนอนหลับ

ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่ช่วยป้องกันการสะสมของสารพิษในร่างกาย สารโพลีฟีนอลในชาเขียวมีส่วนช่วยในการขจัดอนุมูลอิสระและของเสียที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย นอกจากนี้ ชาเขียวยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้ร่างกายขับของเสียได้เร็วขึ้น การดื่มชาเขียวอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบขับถ่ายและการขับสารพิษ แต่ไม่ใช่การดีท็อกซ์ในความหมายของการล้างสารพิษทั้งหมด

แคลอรี่ของ ชาเขียว (Green Tea) ใน 100 กรัม

ให้พลังงาน
1 Kcal
(ต่อปริมาณ 100 กรัม)
ส่วนประกอบใน 100g.
คาร์โบไฮเดรต 0.2%
โปรตีน 0.2%
น้ำ 99.5%
ในชาเขียว (Green Tea) 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 1 กิโลแคลอรี่ (Kcal) หรือคิดเป็น 0.0 กิโลแคลอรี่ ต่อน้ำหนัก 1 กรัม

รู้หรือไม่?

การดื่มชาเขียวหลังอาหาร สามารถช่วยเพิ่มการย่อยอาหาร และลดความรู้สึกท้องอืดได้ คาเทชินในชาเขียวช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารจากอาหารมื้อหลักได้ดีขึ้น

เรื่องแนะนำ

บทความแนะนำ