21 พฤศจิกายน 2567

แคลอรี่ใน ต้มแซ่บหมู มีกี่ Kcal

ต้มแซ่บหมู

ต้มแซ่บหมู คืออาหารประเภทซุปที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ใช้ส่วนผสมหลัก คือเนื้อหมูและน้ำซุปที่เผ็ดร้อน ส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ ใบมะกรูด ข่า ตะไคร้ และพริกซึ่งช่วยเสริมความหอมและรสชาติที่เข้มข้น เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบรสจัดจ้าน โดยเฉพาะผู้ที่ชอบอาหารที่มีความเผ็ดร้อน น้ำซุปของต้มแซ่บหมูนั้นมีความเปรี้ยว เค็ม และเผ็ดในสัดส่วนที่พอดีเพื่อทำให้ได้รสชาติที่น่ารับประทาน การเตรียมและปรุงเมนูนี้ไม่ยากจนเกินไป และสุดท้ายจะเพิ่มใบคื่นช่ายหอมเพิ่มเพื่อตกแต่งจานและเพิ่มรสชาติได้อีกด้วย เมื่อเสิร์ฟกับข้าวสวยร้อนๆ จะยิ่งเสริมรสชาติให้อร่อยขึ้น

โดยเฉลี่ยปริมาณ ต้มแซ่บหมู 1 ถ้วย (250 กรัม) ให้พลังงาน

= 200 KCAL

(หรือคิดเป็น 80 Kcal ต่อปริมาณ 100 กรัม)
ใน 1 ถ้วยประกอบด้วยไขมัน 10 g.
⋅ พลังงานจากไขมัน = 90 กิโลแคลอรี่
⋅ เฉพาะไขมันคิดเป็น 14% ที่ร่างกายต้องการต่อวัน
หมายเหตุ: รวมน้ำซุป
ต้มแซ่บหมู

สัดส่วนสารอาหารหลัก

(สัดส่วนของสารอาหารที่ให้พลังงานกับร่างกาย)

แหล่งที่มาของแคลอรี่

(แบ่งสัดส่วนของ Kcal ที่ได้รับจากวัตถุดิบในอาหาร)
เนื้อหมู 50%
น้ำซุป 30%
เครื่องเทศ 20%
การแบ่งแคลอรี่ในต้มแซ่บหมูมาจากเนื้อหมูเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นครึ่งหนึ่งของแคลอรี่ทั้งหมด รองลงมาคือน้ำซุปที่มีสัดส่วนแคลอรี่อยู่หนึ่งในสาม ส่วนที่เหลือมาจากเครื่องเทศซึ่งไม่ให้พลังงานสูงเท่าไหร่ แต่มันทำให้รสชาติและคุณภาพอาหารดีขึ้นมาก

ปริมาณโซเดียมใน ต้มแซ่บหมู

เฉลี่ยใน 1 ถ้วย
700 - 1000
(มิลลิกรัม)
จัดอยู่ในกลุ่มอาหารที่โซเดียม สูง
ต้มแซ่บหมู 1 ถ้วย (250 กรัม)
มีโซเดียมประมาณ 700-1000 มิลลิกรัม
คิดเป็น 35-50% ของปริมาณโซเดียมที่แนะนำต่อวัน
"ต้มแซ่บหมูมีปริมาณโซเดียมที่สูง เนื่องจากใช้การปรุงรสด้วยน้ำปลาและเกลือ ซึ่งมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบหลัก จึงควรระมัดระวังสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมการบริโภคโซเดียม"
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม ต่อวัน

วิตามิน/เกลือแร่ที่พบได้ใน ต้มแซ่บหมู

ในต้มแซ่บหมู 1 ถ้วย มีสารอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่ที่พบบ่อยดังนี้
วิตามิน/เกลือแร่ ปริมาณใน 1 จาน %RDI ต่อวัน ได้รับจาก
วิตามินบี 1 0.2 มิลลิกรัม 15% เนื้อหมู
โพแทสเซียม 250.0 มิลลิกรัม 7% เนื้อหมู
วิตามินซี 5.0 มิลลิกรัม 8% มะนาว
แคลเซียม 15.0 มิลลิกรัม 2% เครื่องเทศ
ธาตุเหล็ก 0.5 มิลลิกรัม 3% เนื้อหมู
% RDI ต่อวัน หมายถึง สัดส่วนของสารอาหาร ที่ได้รับจากอาหาร เทียบกับปริมาณที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน

กินต้มแซ่บหมู 1 ถ้วย ให้พลังงาน 200 แคลอรี่ ต้องเบิร์นแค่ไหน?

เดินเร็ว

ใช้เวลา 0.7 ชั่วโมง

วิ่งจ๊อกกิ้ง

ใช้เวลา 0.3 ชั่วโมง

ว่ายน้ำ

ใช้เวลา 0.4 ชั่วโมง

ปั่นจักรยาน

ใช้เวลา 0.4 ชั่วโมง

ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสม และเพิ่มความต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน เพื่อให้การเผาผลาญมีประสิทธิภาพมากขึ้น

กินต้มแซ่บหมูให้ได้พลังงานน้อยที่สุด

สำหรับผู้ที่ต้องการกินเพื่อสุขภาพ ลดน้ำหนัก หรือควบคุมอาหาร
กินที่ร้าน/ซื้อใส่ถุง
  1. เลือกเนื้อหมูไร้มัน: เลือกเนื้อหมูที่มีมันน้อยหรือไม่มีมันเลยเพื่อลดแคลอรี่และไขมันที่ไม่จำเป็น
  2. หลีกเลี่ยงการใส่น้ำมัน: ขอให้ร้านไม่ใส่น้ำมันเพิ่มเติมในต้มแซ่บเพื่อลดปริมาณแคลอรี่
  3. ขอเพิ่มผัก: เพิ่มผักลงในต้มแซ่บ เช่น เห็ด ฟักทอง เพื่อเพิ่มใยอาหารและลดเนื้อสัตว์
  4. ลดเครื่องปรุงรส: ขอให้ลดเครื่องปรุงรสที่มีปริมาณโซเดียมหรือน้ำตาลสูงเพื่อสุขภาพที่ดี
  5. แบ่งเป็นมื้อย่อย: แบ่งการกินเป็นมื้อย่อย ไม่ต้องกินหมดในครั้งเดียวเพื่อลดปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ
ทำกินเอง/ปรุงเอง
  1. เลือกเนื้อหมูไร้มัน: ใช้เนื้อหมูที่มีไขมันต่ำหรือใช้เนื้อสัตว์อื่นเช่น ไก่ หรือปลาเพื่อลดแคลอรี่
  2. ใช้เครื่องปรุงน้อย: ใช้เครื่องปรุงรสน้อยเพื่อลดปริมาณโซเดียมและน้ำตาล แทนที่ด้วยสมุนไพร
  3. เติมผัก: ใส่ผักให้มากขึ้น เช่น เห็ดหรือผักเหลียง เพื่อเพิ่มความอิ่มและใยอาหาร
  4. ห้ามทอดก่อนต้ม: หลีกเลี่ยงการนำเนื้อไปทอดหรือผัดก่อนต้มเพื่อลดการใช้น้ำมัน
  5. ใช้เทคนิคการต้ม: ใช้การต้มปลอดภัยแทน ทอดหรือน้ำมัน
ข้อควรระวังและอาการแพ้อาหาร: ต้มแซ่บหมูมีการใช้น้ำปลาและบางครั้งใช้น้ำมะนาว ซึ่งอาจสร้างปัญหาสำหรับคนที่มีอาการแพ้อาหาร ลองเช็คส่วนประกอบอื่นๆ เช่น พริกหรือเครื่องเทศ บางรายการอาจมีส่วนประกอบสารกันบูดหรือสารเคมีอื่นๆ ที่ต้องระวัง หากมีอาการแพ้อาหารหรืออาการได้ง่าย ควรระมัดระวังในการบริโภคอาหารประเภทนี้เพื่อป้องกันไม่ให้อาการแพ้เกิดขึ้นได้
รู้หรือไม่? การลดแคลอรี่จากการกินต้มแซ่บหมูสามารถทำได้โดยใช้เนื้อหมูที่ไม่มีมันหรือใช้เนื้อสัตว์ประเภทอื่นที่มีไขมันต่ำแทน เช่น เนื้อไก่หรือเนื้อปลา นอกจากนี้ยังสามารถลดปริมาณน้ำมันในการปรุงอาหาร ลดการใช้เครื่องปรุงรสที่มีเกลือหรือน้ำตาลสูง และเพิ่มปริมาณผักเพื่อเสริมใยอาหารและลดแคลอรี่ที่ได้รับจากเนื้อ

ค่าความอิ่ม

(Satiety Index)
70
%
ระดับสูง
กินแล้วอยู่ท้องนาน

ดัชนีน้ำตาล

(Glycemic Index)
30
คะแนน
ระดับค่า GI ปานกลาง
น้ำตาลในเลือดเพิ่มปานกลาง

เส้นใยอาหาร

(Dietary Fiber)
60
คะแนน
มีใยอาหารปานกลาง
หรือมีใยอาหารพอสมควร

ค่าพิวรีน

(Purine Content)
150
mg. ต่อ 100 กรัม
มีพิวรีนปานกลาง
ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ต้องระวัง

เป็นโรคเบาหวาน กินต้มแซ่บหมูได้ไหม?

ต้มแซ่บหมูมีปริมาณโซเดียมและไขมันที่อาจไม่เหมาะสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน ควรเลือกกินในปริมาณที่เหมาะสมและลดเครื่องปรุงที่มีน้ำตาล เช่น เครื่องปรุงรสหรือซอส ลดการใส่น้ำมันในการปรุงเนื่องจากความมันสามารถกระตุ้นระดับน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ

เป็นโรคไต กินต้มแซ่บหมูได้ไหม?

ต้มแซ่บหมูอาจมีปริมาณโซเดียมสูง ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาโรคไต ควรบริโภคในปริมาณที่น้อยหรือหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องปรุงรสที่มีปริมาณโซเดียมสูง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ไตทำงานหนัก

เป็นโรคหัวใจ กินต้มแซ่บหมูได้ไหม?

ด้วยปริมาณโซเดียมและไขมันสำคัญในต้มแซ่บหมูที่สูง ผู้ป่วยหรือผู้ที่เสี่ยงต่อโรคหัวใจควรระมัดระวัง เลือกสูตรที่ลดหรือปรับเครื่องปรุงเพื่อลดการบริโภคไขมันและน้ำตาลในเลือดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนบริโภค

เป็นโรคความดันโลหิตสูง กินต้มแซ่บหมูได้ไหม?

ปริมาณโซเดียมในต้มแซ่บหมูอาจทำให้ความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น จึงควรลดอาหารเค็มและลดการกินต้มแซ่บนี้ในปริมาณมาก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคและเลือกส่วนประกอบอาหารและวิธีการปรุงที่เหมาะสม

เป็นโรคเก๊าท์ กินต้มแซ่บหมูได้ไหม?

การบริโภคต้มแซ่บหมูที่มีพิวรีนสูงอาจกระตุ้นการเกิดโรคเกาต์ ควรเลือกกินในปริมาณที่เหมาะสมและลดปริมาณเนื้อหมูหรือเลือกเนื้อสัตว์ที่มีพิวรีนต่ำแทน ปรึกษาแพทย์เพื่อคำแนะนำที่เหมาะสม

เป็นโรคกระเพราะ กินต้มแซ่บหมูได้ไหม?

ต้มแซ่บหมูมีรสชาติที่เผ็ดซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมและปรับลดปริมาณพริกเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากระเพาะ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ

ข้อมูลอาจมีความแตกต่างกันไป ตามรูปแบบการปรุง และวัตถุดิบในการประกอบอาหาร รวมไปถึงปริมาณเฉลี่ยตามขนาดภาชนะในการจัดเตรียม
Thai RDI: ความต้องการพลังงานสำหรับคนไทย ที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป มีความต้องการพลังงานเฉลี่ยวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่
เพศชาย ต้องการพลังงานมากกว่า เพศหญิง เนื่องจากเพศชายมักมีมวลกล้ามเนื้อและขนาดร่างกายที่ใหญ่กว่า ซึ่งทำให้ร่างกายต้องการพลังงานมากกว่า
การเรียกหน่วย แคลอรี่ kcal หรือ cal หรือ กิโลแคลอรี่ เพื่อใช้บอกพลังงานในอาหาร ในบริบทของการใช้จริง ให้นิยามได้ว่าเป็นหน่วยความหมายเท่ากัน