21 พฤศจิกายน 2567

น้ำมันมะกอก (Olive Oil) สารอาหารจากธรรมชาติ นำมาปรุงอาหารเพื่อสุขภาพ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

น้ำมันมะกอก (Olive Oil)
สรุปโดยย่อ: น้ำมันมะกอก (Olive Oil) เป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ มีไขมันดี วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงร่างกาย ใช้ได้ทั้งในสลัด ผัด หรือทอดแบบความร้อนต่ำ ช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร และเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ แต่ควรใช้ในปริมาณที่พอดี เก็บในที่มืดเพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการ
สารบัญเนื้อหา

น้ำมันมะกอก (Olive Oil) คือไขมันที่ได้จากผลมะกอก โดยผ่านกระบวนการสกัดด้วยการบีบ แยกเนื้อ แยกน้ำ ถ่ายลงภาชนะ จากนั้นแยกน้ำมันโดยการใช้เครื่องปั่นและกรอง เพื่อให้ได้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ที่เหมาะในการนำมาปรุงอาหารเพื่อสุขภาพ โดยสรรพคุณของน้ำมันมะกอกนั้นก็อุดมไปด้วยวิตามินมินเอและเบต้าแคโรทีนที่สามารถช่วยป้องกันโรคผิวหนัง ลดรอยเหี่ยวย่นของผิวพรรณได้ นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ในร่างกาย ช่วยยับยั้งการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับร่างกายได้

น้ำมันมะกอกได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในด้านอาหาร และการดูแลสุขภาพ สารอาหารต่างๆ ที่พบในน้ำมันมะกอกทำให้มันเป็นส่วนสำคัญในอาหารหลากหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การเลือกใช้น้ำมันมะกอกอย่างเหมาะสมสามารถเพิ่มคุณค่าให้กับการบริโภคในแต่ละวันได้เป็นอย่างมาก

ประเภทของน้ำมันมะกอกที่นำมาใช้ทำอาหาร

น้ำมันมะกอกที่วางขายตามท้องตลาดนั้น มีให้ผู้บริโภคได้เลือกรับประทานมากมายหลายชนิด โดยสามารถแบ่งเป็นหมวดหมู่ใหญ่ๆ ได้ 5 ประเภท ดังนี้

Virgin Olive Oil
Virgin Olive Oil

1. Virgin Olive Oil

Virgin Olive Oil จัดเป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่ได้รับการสกัดจากผลมะกอกโดยตรง เหมาะสำหรับการทำพาสต้าซอส, ทำน้ำสลัด น้ำมันมะกอกชนิดนี้มีราคาที่ถูกกว่าน้ำมันมะกอกประเภทอื่นๆ จึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก

Extra Virgin Oil
Extra Virgin Oil

2. Extra Virgin Oil

Extra Virgin Oil น้ำมันมะกอกที่ผ่านการสกัดเย็น มีสีเขียวเข้ม รสชาติเหมือนผลมะกอก ถือเป็นน้ำมันมะกอกชนิดที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด และมีราคาสูงมากอีกด้วย เหมาะสำหรับการนำมาทำซอสพอสต้า, น้ำสลัด และปรุงอาหารบางชนิดที่ไม่ผ่านความร้อน หากนำไปใช้ในกรรมวิธีที่ผ่านความร้อน เช่น ทอด หรือผัด อาจจะแปรสภาพกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้

Pure Olive Oil
Pure Olive Oil

3. Pure Olive Oil

Pure Olive Oil เป็นน้ำมันมะกอกชนิดที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอกที่กลั่นแล้ว กับน้ำมันมะกอก Virgin Olive Oil เหมาะสำหรับการผัด ทอดระยะเวลาสั้นๆ เช่น ผัดผัก ข้าวผัด ไข่เจียว หรือไข่ดาว เป็นต้น

Olive Pomace Oil
Olive Pomace Oil

4. Olive Pomace Oil

Olive Pomace Oil เป็นน้ำมันกากมะกอกที่เหมาะสำหรับการนำมาทอดอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูง โดยเป็นน้ำมันที่ได้มาจากการสกัดน้ำมันจากกากมะกอก ผ่านกระบวนการทางเคมีและความร้อน ถือเป็นน้ำมันมะกอกที่มีคุณภาพน้อยที่สุดในกลุ่มน้ำมันมะกอกด้วยกัน

Refined Olive Oil
Refined Olive Oil

5. Refined Olive Oil

Refined Olive Oil น้ำมันมะกอกชนิดนี้เหมาะกรรมวิธีการทำอาหารโดยการทอดนานๆ เช่น ทอดน่องไก่ ทอดไส้กรอก ทอดปลา โดยมีการสกัด กลิ่น สี และรสออกไป ส่งผลให้สารอาหารที่มีอยู่ภายในน้ำมันมะกอกนั้นถูกสกัดออกไปจนหมดด้วย ซึ่งทำให้น้ำมันมะกอกชนิดนี้มีราคาที่ค่อนข้างถูก หากเทียบกับน้ำมันมะกอกชนิดอื่นๆ

ตารางแสดงความแตกต่างของชนิดน้ำมันมะกอก

ชนิดของน้ำมันมะกอก กระบวนการสกัด ความบริสุทธิ์ รสชาติ การใช้งานที่เหมาะสม
น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ (Extra Virgin) สกัดเย็นโดยไม่ใช้สารเคมี สูงสุด หอมหวาน รสเข้ม ใช้ในสลัด หรืออาหารที่ไม่ต้องผ่านความร้อนสูง
น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (Virgin) สกัดด้วยกระบวนการทางกล สูง แต่ต่ำกว่าบริสุทธิ์พิเศษ รสนุ่มกว่า ใช้ในการทำอาหารทั่วไป เช่น ผัดหรือทอดเบาๆ
น้ำมันมะกอกปกติ (Olive Oil) ผสมระหว่างสกัดกลและสารเคมี ปานกลาง รสอ่อน ใช้ในการทอดหรือผัดด้วยอุณหภูมิสูง
น้ำมันมะกอกชนิดเบา (Light Olive Oil) ผ่านการกรองและสกัดหลายครั้ง ต่ำสุด ไม่มีรสชาติชัดเจน เหมาะกับการทอดในอุณหภูมิสูง
น้ำมันมะกอกแบบกลั่น (Refined Olive Oil) ผ่านกระบวนการสกัดด้วยความร้อนและสารเคมี ต่ำ รสชาติอ่อนมาก เหมาะกับการปรุงอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูง
น้ำมันมะกอกผสม (Blended Olive Oil) ผสมน้ำมันมะกอกหลายชนิดเข้าด้วยกัน ปานกลาง ขึ้นอยู่กับส่วนผสม ใช้ในอาหารทั่วไป เช่น ผัด หรือทำซอส
น้ำมันมะกอกชนิดพิเศษสำหรับเด็ก (Extra Mild Olive Oil) ผ่านการสกัดเพื่อให้ได้รสชาติอ่อนมาก สูง แต่รสชาติอ่อน อ่อนและกลิ่นน้อย เหมาะสำหรับอาหารเด็กหรือผู้ที่ไม่ชอบรสชาติน้ำมันมะกอกที่เข้มข้น
น้ำมันมะกอกสกัดเย็นครั้งแรก (First Cold Pressed) สกัดเย็นครั้งแรกจากผลมะกอก สูงสุด รสชาติเข้มและหอม ใช้ในอาหารสดหรือปรุงแต่งอาหารที่ไม่ต้องผ่านความร้อน
น้ำมันมะกอกออร์แกนิก (Organic Olive Oil) ผลิตจากมะกอกที่ปลูกแบบออร์แกนิก สูง รสชาติตามธรรมชาติ เหมาะสำหรับการบริโภคที่เน้นสุขภาพและความบริสุทธิ์
น้ำมันมะกอกสำหรับใช้ปรุงอาหาร (Cooking Olive Oil) ผ่านการปรับปรุงให้ทนต่อความร้อน ปานกลาง รสชาติอ่อน เหมาะสำหรับการผัดและทอดทั่วไป

น้ำมันมะกอกแต่ละประเภทนั้น มีคุณค่าของสารอาหารที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงมีราคาที่แตกต่างด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากต้องการนำเอาน้ำมันมะกอกมาใช้ปรุงหรือทำอาหาร ควรเลือกพิจารณาจากความเหมาะสมในอาหารประเภทนั้นๆ และคำนึงถึงสารอาหารที่ต้องการได้รับเป็นหลัก เพื่อให้ร่างกายได้คุณประโยชน์จากน้ำมันมะกอกอย่างเพียงพอ

สารอาหารที่สำคัญในน้ำมันมะกอก

น้ำมันมะกอกเป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์หลากหลาย แต่ละสารอาหารมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย

1. กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fats)

กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเป็นองค์ประกอบหลักของน้ำมันมะกอก โดยเฉพาะกรดโอเลอิก (Oleic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี และเป็นไขมันที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของร่างกาย การบริโภคไขมันชนิดนี้สามารถช่วยในการปรับสมดุลการบริโภคไขมันโดยรวม ทำให้น้ำมันมะกอกเป็นทางเลือกที่ดีในการทำอาหาร

2. วิตามินอี (Vitamin E)

วิตามินอีในน้ำมันมะกอกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายจากสารอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ วิตามินอียังมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพของผิวพรรณและช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

3. โพลีฟีนอล (Polyphenols)

โพลีฟีนอลเป็นสารประกอบทางธรรมชาติที่พบในน้ำมันมะกอก โดยเฉพาะในน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ โพลีฟีนอลมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในร่างกาย และลดการสะสมของสารอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเซลล์

4. ไฟโตสเตอรอล (Phytosterols)

ไฟโตสเตอรอลในน้ำมันมะกอกช่วยในการลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหารที่บริโภค ทำให้ร่างกายสามารถควบคุมระดับไขมันในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผลมะกอก
ผลมะกอก

ประโยชน์จากการใช้น้ำมันมะกอกในอาหาร

น้ำมันมะกอกไม่เพียงแต่เป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ แต่ยังเป็นส่วนประกอบที่เพิ่มรสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการให้อาหารต่างๆ เมื่อใช้อย่างเหมาะสม น้ำมันมะกอกสามารถใช้ในการปรุงอาหารในหลากหลายวิธี ตั้งแต่การผัด ทอด หรือการใช้เป็นน้ำสลัด โดยที่น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษมักจะถูกเลือกใช้เป็นน้ำมันสำหรับสลัดเนื่องจากรสชาติที่หอมหวาน และเข้มข้น

1. การใช้น้ำมันมะกอกในสลัด

การใช้เป็นน้ำสลัดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคงคุณค่าทางโภชนาการของน้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอกจะไม่ผ่านความร้อนทำให้สารอาหารสำคัญ เช่น โพลีฟีนอล และวิตามินอี ยังคงอยู่ครบถ้วน การรับประทานสลัดที่มีน้ำมันมะกอกเป็นส่วนประกอบจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์

2. การทำอาหารด้วยน้ำมันมะกอก

น้ำมันมะกอกสามารถทนความร้อนได้ดี ทำให้เหมาะสำหรับการใช้ในการทำอาหาร เช่น การผัด หรือทอดที่ใช้ความร้อนต่ำถึงปานกลาง การใช้น้ำมันมะกอกในการผัดช่วยเพิ่มความหอม และรสชาติของอาหารโดยไม่ทำให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการมากเกินไป การเลือกใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ในการทำอาหารประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมในหลายครัวเรือน

ข้อควรระวังในการใช้น้ำมันมะกอก

แม้ว่าน้ำมันมะกอกจะเป็นน้ำมันที่มีประโยชน์ทางโภชนาการสูง แต่การใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ น้ำมันมะกอกเป็นไขมันที่มีแคลอรีสูง การใช้มากเกินไปอาจทำให้การบริโภคพลังงานเกินความต้องการในแต่ละวันได้ ดังนั้น การควบคุมปริมาณที่ใช้จึงเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง นอกจากนี้ การเก็บรักษาน้ำมันมะกอกก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรเก็บในที่มืด และอุณหภูมิห้องเพื่อลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันที่อาจทำให้คุณค่าทางโภชนาการของน้ำมันลดลง

น้ำมันมะกอกกับการดูแลเส้นผม และผิวพรรณ

น้ำมันมะกอกไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการประกอบอาหาร แต่ยังเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมในการดูแลผิวพรรณและเส้นผม น้ำมันมะกอกอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงและปกป้อง ทั้งผิวหนังและเส้นผมได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกสำหรับเส้นผม

  1. บำรุงเส้นผมให้เงางามและแข็งแรง: น้ำมันมะกอกช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเส้นผม ลดการแตกปลายและทำให้เส้นผมดูเงางาม สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกยังช่วยปกป้องเส้นผมจากมลภาวะและแสงแดด ทำให้ผมดูมีสุขภาพดี
  2. รักษาอาการหนังศีรษะแห้งและรังแค: การนวดหนังศีรษะด้วยน้ำมันมะกอกช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับหนังศีรษะ ลดอาการคันและรังแค วิตามินอีที่อยู่ในน้ำมันมะกอกยังช่วยส่งเสริมสุขภาพของหนังศีรษะ ทำให้หนังศีรษะมีความชุ่มชื้นและแข็งแรง
  3. ใช้เป็นทรีตเมนต์สำหรับผมแห้งเสีย: น้ำมันมะกอกสามารถใช้เป็นทรีตเมนต์สำหรับเส้นผมที่แห้งเสีย โดยการนวดน้ำมันมะกอกลงบนเส้นผมและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง จากนั้นล้างออกและสระผมตามปกติ ทำให้เส้นผมกลับมามีชีวิตชีวาและดูเงางามมากขึ้น

ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกสำหรับผิวพรรณ

  1. เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว: น้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวที่ต้องการการบำรุงล้ำลึก วิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกช่วยปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวรู้สึกนุ่มชุ่มชื้นและเรียบเนียนขึ้น
  2. ช่วยลดการอักเสบและระคายเคือง: น้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองของผิว เช่น ผิวแดง ผิวแห้งแตก หรือผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด การทาน้ำมันมะกอกบางๆ บนผิวช่วยให้ผิวรู้สึกเย็นลงและผ่อนคลาย
  3. ใช้ล้างเครื่องสำอาง: น้ำมันมะกอกสามารถใช้เป็นน้ำมันทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างดี โดยเฉพาะการลบเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน นอกจากนี้ยังช่วยทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง

วิธีใช้น้ำมันมะกอกบำรุงผิว

หลังอาบน้ำ เช็ดผิวให้แห้งหมาดๆ แล้วทาน้ำมันมะกอกบางๆ ทั่วผิวหนัง เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหรือใช้เป็นส่วนผสมในโลชั่นที่ใช้อยู่

วิธีใช้น้ำมันมะกอกบำรุงเส้นผม

นวดน้ำมันมะกอกลงบนเส้นผมและหนังศีรษะ ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยแชมพู ทำสัปดาห์ละครั้งเพื่อผมที่นุ่มสลวยและแข็งแรง

ความบริสุทธิ์ของน้ำมันมะกอก

ความบริสุทธิ์ของน้ำมันมะกอก คือระดับความบริสุทธิ์ทางธรรมชาติของน้ำมันที่ได้จากการสกัดผลมะกอก โดยวัดจากกระบวนการสกัดและการปรับปรุงที่ใช้ในการผลิต ความบริสุทธิ์จะบ่งบอกถึงคุณภาพ สารอาหารที่ยังคงอยู่ และรสชาติของน้ำมันมะกอก น้ำมันที่บริสุทธิ์มากที่สุดมักจะมีสารอาหารสำคัญอย่างวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระคงอยู่สูงที่สุด

น้ำมันมะกอกสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามระดับความบริสุทธิ์ ดังนี้:

  1. น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ (Extra Virgin Olive Oil): เป็นน้ำมันที่มีความบริสุทธิ์สูงสุด สกัดเย็นโดยไม่ผ่านการปรุงแต่งด้วยสารเคมี ทำให้มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ครบถ้วน เช่น วิตามิน อี และโพลีฟีนอล มีรสชาติที่เข้มข้นและหอมกลิ่นมะกอกสด
  2. น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (Virgin Olive Oil): สกัดจากมะกอกโดยไม่ผ่านสารเคมีเช่นกัน แต่มีความบริสุทธิ์น้อยกว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ รสชาติจะอ่อนกว่าเล็กน้อย
  3. น้ำมันมะกอกปกติ (Olive Oil): เป็นการผสมน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์กับน้ำมันมะกอกที่ผ่านกระบวนการกลั่นด้วยความร้อนและสารเคมี ทำให้คุณค่าทางโภชนาการลดลง มีรสชาติที่อ่อนกว่า
  4. น้ำมันมะกอกแบบกลั่น (Refined Olive Oil): เป็นน้ำมันที่ผ่านกระบวนการกลั่นโดยใช้สารเคมีและความร้อน ทำให้ความบริสุทธิ์ลดลงมาก และมีรสชาติอ่อนหรือแทบไม่มีรสเลย

ความนิยมในการใช้น้ำมันมะกอก

น้ำมันมะกอก ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชีย โดยเหตุผลหลักที่ทำให้น้ำมันมะกอกไม่เป็นที่นิยมมากนัก ก็เพราะผู้คนส่วนใหญ่ คิดว่าน้ำมันมะกอกเมื่อนำมาทำอาหารแล้ว จะให้รสชาติที่ไม่อร่อย แตกต่างจากน้ำมันทั่วๆ ไปที่มีรสชาติดีมากกว่า อีกทั้งน้ำมันมะกอกยังมีราคาที่สูงมากกว่าน้ำมันประเภทอื่นๆ ในท้องตลาด จึงทำให้ผู้คนส่วนใหญ่หันไปเลือกซื้อน้ำมันปาล์ม, น้ำมันหมูในการทำอาหาร เพราะสามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายกว่า

น้ำมันมะกอกมีหลากหลายประเภทให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ และเป็นน้ำมันที่จัดว่ามีคุณประโยชน์ทางโภชนาการเป็นอย่างมาก และสามารถทำอาหารได้อย่างหลากหลาย แถมรสชาติก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ มีความเข้ากันกับเมนูอาหารในหลายๆ รูปแบบ ส่วนราคาก็มีความแตกต่างกันแล้วแต่คุณสมบัติและยี่ห้อ รวมถึงแล้วแต่ประเภทของน้ำมันมะกอกด้วย

อย่างไรก็ตาม การบริโภคน้ำมันมะกอกก็จำเป็นต้องอ่านศึกษาหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี เพราะน้ำมันมะกอกมาพร้อมข้อจำกัดหลายๆ อย่างในการรับประทาน โดยเฉพาะในผู้ที่ป่วยเป็นโรคบางชนิด น้ำมันมะกอกอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยอาจจะขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือเภสัชที่มีความเชี่ยวชาญ ก่อนจะเลือกซื้อหาน้ำมันมะกอกมาประกอบอาหาร เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์จากการบริโภคได้

น้ำมันมะกอกสามารถทานดิบได้ และเป็นวิธีที่ดีในการรับประทานเพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ (Extra Virgin Olive Oil) ซึ่งเป็นชนิดที่มีความบริสุทธิ์สูงสุด มีสารอาหารสำคัญ เช่น กรดไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินอี และโพลีฟีนอล ที่ยังคงอยู่ในสภาพดั้งเดิมเมื่อทานแบบดิบ การทานน้ำมันมะกอกดิบมักจะใช้วิธีการ ราดบนสลัด ผักสด ขนมปัง หรือใช้เป็นซอสจิ้มเพื่อเพิ่มรสชาติและประโยชน์ต่อสุขภาพ

  1. คงคุณค่าทางโภชนาการ: เมื่อไม่ผ่านความร้อน สารต้านอนุมูลอิสระและกรดไขมันดีในน้ำมันมะกอกจะไม่ถูกทำลาย ทำให้สามารถได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
  2. รสชาติและกลิ่นหอม: น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษมีรสชาติหอมหวานและเข้มข้น ซึ่งเพิ่มความอร่อยให้กับอาหาร
  3. ช่วยบำรุงร่างกาย: สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติช่วยปกป้องเซลล์และบำรุงผิวพรรณเมื่อบริโภคในรูปแบบดิบ

น้ำมันมะกอกสามารถทานดิบได้อย่างปลอดภัย และยังเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับมื้ออาหาร

รู้หรือไม่?

น้ำมันมะกอกใช้ดูแลสุขภาพผิวได้อย่างยอดเยี่ยม! เนื่องจากน้ำมันมะกอกอุดมไปด้วยวิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น และลดการอักเสบได้ เพียงใช้น้ำมันมะกอกทาบางๆ บนผิวหลังอาบน้ำ จะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น และป้องกันการแห้งกร้าน

เรื่องแนะนำ

บทความแนะนำ