น้ำตาล (Sugar) คือชื่อเรียกของคาร์โบไฮเดรตชนิดละลายน้ำ มีรสหวาน โดยมีส่วนประกอบเป็นธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน สามารถนำไปประกอบอาหารเพื่อปรุงรสชาติอาหารให้มีความหวานได้ อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้เป็นอาหารเสริมให้กับร่างกาย โดยน้ำตาลที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางโภชนาการมากที่สุดก็คือ น้ำตาลซูโครส หรือน้ำตาลทราย
น้ำตาลไม่ใช่เพียงแต่ให้รสหวานอย่างเดียวเท่านั้น เพราะความจริงแล้ว ไม่ใช่น้ำตาลทุกชนิดจะให้ความหวาน ยกตัวอย่างเช่น น้ำตาลแลคโตส ที่มีอยู่ในน้ำนมมนุษย์หรือน้ำนมของวัว ถือเป็นน้ำตาลที่ไม่ออกรสชาติหวาน เพราะน้ำตาลแลคโตสมีปริมาณความหวานอยู่อย่างจำกัด ส่งผลให้รสชาติที่ได้จะมีความแตกต่างจากน้ำตาลประเภทอื่นๆ
นมแลคโตสฟรี คือ นมที่ถูกเอาสารแลคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลในนมออกไป เพื่อให้คนที่แพ้แลคโตสสามารถดื่มนมได้โดยไม่ท้องอืดหรือท้องเสีย คนที่แพ้แลคโตสมักมีปัญหาในการย่อยแลคโตส เพราะร่างกายไม่มีเอนไซม์ที่ช่วยย่อย แลคโตสฟรีจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหานี้ แต่ยังอยากได้ประโยชน์จากการดื่มนม เช่น แคลเซียมและโปรตีน
น้ำตาลเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะเป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ และยังช่วยให้ร่างกายเกิดความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เพราะมีส่วนกระตุ้นการทำงานของสมอง นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ ได้ด้วย เช่น อาหารกระป๋องและผลไม้กระป๋อง เป็นต้น
น้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานที่รวดเร็ว
เมื่อบริโภคน้ำตาล ร่างกายจะย่อยและเปลี่ยนน้ำตาลเป็นกลูโคส ซึ่งถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว กลูโคสเป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์สมองและกล้ามเนื้อ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น จะทำให้ร่างกายรู้สึกมีพลัง กระปรี้กระเปร่า และสมองทำงานได้ดีขึ้นในช่วงเวลานั้น
แต่หากบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ก็อาจทำให้พลังงานลดลงเร็วหลังจากนั้น เนื่องจากร่างกายจะผลิตอินซูลินออกมาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นร่างกายจะรู้สึกอ่อนเพลีย และเกิดความหิวอย่างหนักขึ้นมาอีกครั้ง เรียกว่าอาการ “น้ำตาลตก”
น้ำตาลตก
อาการ น้ำตาลตก หรือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงต่ำกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายและสมองขาดพลังงานอย่างรวดเร็ว อาการนี้มักเกิดหลังจากที่ร่างกายได้รับน้ำตาลหรืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงในปริมาณมาก และอินซูลินถูกหลั่งออกมามากเกินไปเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่งผลให้ระดับน้ำตาลลดลงอย่างรวดเร็วและต่ำกว่าที่ร่างกายต้องการ ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ
อาการของน้ำตาลตก
- อ่อนเพลีย: รู้สึกหมดแรงหรืออ่อนแรง เพราะร่างกายไม่มีพลังงานเพียงพอจากการขาดกลูโคส
- หิวมาก: ร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นทันที จึงทำให้เกิดความหิวรุนแรง โดยเฉพาะอยากกินของหวานหรืออาหารคาร์โบไฮเดรตสูง
- เหงื่อออก: ร่างกายตอบสนองต่อภาวะขาดพลังงานโดยเพิ่มการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เหงื่อออกง่าย
- มึนหัวหรือเวียนศีรษะ: สมองขาดกลูโคส ทำให้การทำงานไม่เต็มที่ อาจรู้สึกสับสนหรือมึนหัว
- มือสั่นหรือใจสั่น: ร่างกายตอบสนองต่อระดับน้ำตาลที่ต่ำโดยการกระตุ้นระบบประสาท ทำให้มือสั่นหรือใจเต้นเร็ว
- ความหงุดหงิดและอารมณ์แปรปรวน: ระดับน้ำตาลที่ต่ำส่งผลต่อสมอง ทำให้อารมณ์ไม่คงที่ หงุดหงิดง่าย
การจัดการเมื่อเกิดอาการน้ำตาลตก
เมื่อรู้สึกอาการน้ำตาลตก เช่น หิวมาก อ่อนเพลีย หรือมือสั่น ควรรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนหรือโปรตีน เช่น ขนมปังโฮลเกรน ผลไม้ หรือถั่ว เพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่แนะนำให้รับประทานน้ำตาลมากเกินไปในคราวเดียว เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นและตกอย่างรวดเร็วอีกครั้ง!
การป้องกันภาวะน้ำตาลตก
ทำได้โดยรับประทานอาหารที่มีโปรตีน ไฟเบอร์ และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งจะช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวานหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก และควรแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ และกินบ่อย ๆ นอกจากนี้ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอและรักษาสมดุลของอาหารจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการน้ำตาลตก
ประเภทของน้ำตาล
น้ำตาลสามารถแบ่งประเภทได้ตามลักษณะของโมเลกุล ดังต่อไปนี้
1. น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (Monosaccharides)
น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว คือน้ำตาลที่มีโมเลกุลเล็กที่สุด ละลายได้ดี เหมาะสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ภายในร่างกายได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย น้ำตาลชนิดนี้มีรสหวาน โดยสามารถแบ่งเป็นชนิดย่อยได้ ดังนี้
- น้ำตาลกลูโคส (Glucose) กลูโคสเป็นน้ำตาลที่ถือว่ามีความจำเป็นต่อร่างกาย และเป็นแหล่งพลังงานสำคัญในการทำงานของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะเซลล์สมองและเซลล์เม็ดเลือดแดง พบได้ในผัก ผลไม้ บริเวณส่วนต่างๆ ของพืชที่มีรสหวาน เช่น ข้าว แป้ง ขนมปัง ผลไม้ และน้ำผึ้ง
- ฟรุกโทส (Fructose) ฟรุกโทสเป็นน้ำตาลผลไม้ที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย สามารถพบได้ใน แอปเปิ้ล องุ่น กล้วย และแตงโม รวมถึงน้ำผึ้งและน้ำเชื่อมข้าวโพด เครื่องดื่มต่างๆ ที่มีส่วนผสมของน้ำผึ้ง
- กาแลกโทส (Galactose) กาแลกโทสเป็นน้ำตาลที่พบในนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส โยเกิร์ต และนมวัว โดยกาแลกโทสมักรวมตัวกับกลูโคสเพื่อสร้างแลคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลหลักในนม ไม่สามารถพบได้ตามธรรมชาติ แต่จะอาศัยเกาะกลุ่มรวมอยู่กับน้ำตาลกลูโคสในรูปแบบน้ำตาลโมเลกุลคู่ ที่อยู่ภายในน้ำนมหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม
น้ำตาลโมเลกุลคู่ (Disaccharides)
น้ำตาลโมเลกุลคู่คือน้ำตาลที่ประกอบขึ้นจากน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว 2 โมเลกุล ที่ส่วนใหญ่พบได้ตามธรรมชาติทั่วไป ทั้งในพืช ผัก ผลไม้ และอาหารประเภทต่างๆ โดยสามารถแบ่งเป็นชนิดย่อยได้ ดังนี้
- น้ำตาลมอลโทส (Moltose) มอลโทสเป็นน้ำตาลที่เมื่อถูกย่อยสลายจะได้น้ำตาลกลูโคส 2 โมเลกุล พบได้ในอาหารที่มีการย่อยแป้ง เช่น ข้าว ขนมปัง และพืชที่งอกใหม่ โดยเฉพาะในข้าวมอลต์และธัญพืชที่ผ่านกระบวนการงอก
- น้ำตาลแลกโทส (Lactose) แลกโทสเป็นน้ำตาลที่มีรสชาติหวานน้อยกว่าน้ำตาลประเภทต่างๆ และย่อยสลายได้ยากกว่าน้ำตาลโมเลกุลคู่อื่นๆ เมื่อย่อยสลายจะได้น้ำตาลกาแลกโทสและน้ำตาลกลูโคสอย่างละ 1 โมเลกุล โดยประโยชน์ของน้ำตาลแลกโทสนั้นก็คือ การนำมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตไวน์ พบได้ใน นมวัว ชีส และโยเกิร์ต
- น้ำตาลซูโครส (Sucrose) ซูโครสเป็นน้ำตาลทรายทั่วไปที่ที่เราใช้ในการปรุงอาหาร เมื่อถูกย่อยสลายจะได้น้ำตาลกลูโคสและน้ำตาลฟรุกโตสอย่างละ 1 โมเลกุล โดยพบได้มากในอ้อย หัวบีท มะพร้าวและ ผลไม้ที่มีรสหวานทุกชนิด
อาการแพ้แลคโตส (แพ้นมวัว) คือภาวะที่ร่างกายย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม และผลิตภัณฑ์จากนมไม่ได้ เพราะขาดเอนไซม์ที่ชื่อว่า “แลคเตส” ทำให้เมื่อดื่มนมหรือกินอาหารที่มีแลคโตส จะเกิดอาการท้องอืด ปวดท้อง มีแก๊สเยอะ และท้องเสีย อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นไม่นานหลังจากบริโภคนม
น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ หรือน้ำตาลเชิงซ้อน (Polysaccharides)
น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ คือคาร์โบไฮเดรตที่ได้มาจากน้ำตาลโมเลกุลหลายๆ โมเลกุลมารวมกัน ซึ่งรสชาติที่ได้นั้นจะไม่มีความหวาน มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ยาก หรือละลายไม่ได้เลย สามารถแบ่งเป็นชนิดย่อยได้ ดังนี้
- แป้ง (Starch) คือพอลิแซ็กคาไรด์ ได้มาจากการนำเอาน้ำตาลกลูโคสหลายๆ โมเลกุลมาเชื่อมต่อกัน มีความสามารถในการละลายน้ำได้เล็กน้อย เป็นสารอาหารที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถดูดซึมได้ทันที เพราะจำเป็นต้องผ่านการย่อยสลายให้กลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวก่อน จึงจะสามารถดูดซึมได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อการเก็บสะสมอาหารของพืช โดยพืชจะทำการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ให้ออกมาอยู่ในรูปแบบแป้ง แล้วนำไปเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ
- เซลลูโลส (Cellulose) จัดเป็นพอลิแซ็กคาไรด์ที่ได้มาจากการรวมตัวกันของกลูโคสจำนวนหลายหมื่นโมเลกุลมาเชื่อมต่อกัน ทำให้รูปร่างของเซลลูโลสจะมีลักษณะเป็นเส้นใยขนาดยาว ซึ่งไม่สามารถละลายน้ำได้ บทบาทสำคัญของเซลลูโลสก็คือ ไม่ได้เป็นรูปแบบในการเก็บสะสมอาหารของสิ่งมีชีวิต แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญของผนังเซลล์พืช โดยมีหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังเซลล์นั้นๆ และเนื่องจากเซลลูโลสเป็นโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่มาก จึงส่งผลทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ แต่สัตว์ประเภทที่กินพืชเป็นอาหารสามารถย่อยสลายได้ เพราะกระเพาะของสัตว์เหล่านั้นมีแบคทีเรียที่มีความสามารถในการย่อยสลายเซลลูโลสให้กลายเป็นกลูโคสได้
- ไกลโคเจน (Glycogen) เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ที่มีขนาดของโมเลกุลใหญ่กว่าแป้งมาก ถือเป็นรูปแบบการสะสมอาหารที่พบได้เฉพาะในมนุษย์และสัตว์ โดยร่างกายของมนุษย์และสัตว์นั้นจะเปลี่ยนกลูโคสที่พบได้ปริมาณมากในกระแสเลือดให้กลายเป็นไกลโคเจน เพื่อนำไปเก็บสะสมไว้ในบริเวณกล้ามเนื้อและจับ กลายเป็นหน่วยพลังงานสำรองที่ร่างกายจะดึงเอาไปใช้เมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง เช่น การออกกำลังกาย การวิ่ง การทำงานที่ต้องอาศัยแงงานเป็นหลัก และจะสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นกลูโคสได้ในช่วงที่ร่างกายขาดสารอาหารหรือมีปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำลง
น้ำตาลกับการถนอมอาหาร
น้ำตาลมีบทบาทสำคัญในการถนอมอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเก็บรักษาได้นาน น้ำตาลช่วยยืดอายุการเก็บรักษาอาหารได้หลายวิธี
การดูดซับความชื้น
น้ำตาลมีคุณสมบัติในการดูดซับความชื้นจากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ทำให้อาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น แยม ผลไม้แห้ง หรือขนมหวาน มีความชื้นต่ำลง เมื่อความชื้นในอาหารลดลง แบคทีเรีย รา และจุลินทรีย์ที่ต้องการน้ำในการเจริญเติบโตจะไม่สามารถเติบโตได้หรือเจริญเติบโตได้ช้าลง ทำให้กระบวนการเน่าเสียถูกชะลอไป ตัวอย่างเช่น แยมที่มีน้ำตาลสูงจะสามารถเก็บได้นานเพราะไม่มีความชื้นมากพอให้จุลินทรีย์เติบโต
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เข้มข้น
น้ำตาลในปริมาณสูงในอาหาร ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่มีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อกระบวนการออสโมซิส (Osmosis) ในจุลินทรีย์ น้ำจากภายในเซลล์ของจุลินทรีย์จะถูกดึงออกมาเพื่อลดความเข้มข้นของน้ำตาลนอกเซลล์ ทำให้เซลล์แห้งและไม่สามารถเจริญเติบโตได้ การเจริญเติบโตของแบคทีเรียและจุลินทรีย์จึงถูกยับยั้ง เช่น การทำลูกกวาดหรือถั่วกรอบที่ใช้น้ำตาลในการถนอมอาหาร
การควบคุมการเน่าเสีย
น้ำตาลมีคุณสมบัติในการชะลอการเน่าเสียของอาหาร เพราะช่วยสร้างสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ การเติมน้ำตาลในปริมาณสูงจะลดการเคลื่อนไหวของน้ำภายในอาหาร ทำให้แบคทีเรียหรือเชื้อราไม่สามารถเข้าถึงน้ำในอาหารได้เพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเติบโต ตัวอย่างเช่น การเคลือบน้ำตาลบนผลไม้แห้งจะช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราและการเน่าเสีย ทำให้สามารถเก็บผลไม้แห้งได้นานขึ้น
ตัวอย่างของการใช้น้ำตาลในการถนอมอาหาร
- แยมและเยลลี่: การเติมน้ำตาลในปริมาณมากในแยมและเยลลี่ไม่เพียงแค่เพิ่มความหวาน แต่ยังช่วยให้เก็บได้นานขึ้น
- ผลไม้แห้ง: น้ำตาลมักถูกใช้เพื่อเคลือบผลไม้แห้ง ทำให้สามารถเก็บรักษาได้โดยไม่เกิดเชื้อรา
- ขนมหวาน: ขนมหวานแบบดั้งเดิม เช่น ลูกกวาดหรือถั่วกรอบ ใช้น้ำตาลเป็นตัวช่วยถนอมอาหารให้สามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เสีย
- น้ำเชื่อมถนอมผลไม้: น้ำตาลในน้ำเชื่อมช่วยเก็บรักษาผลไม้เชื่อมให้คงทนและยืดอายุการเก็บได้นาน
- ลูกกวาดและคาราเมล: น้ำตาลในลูกกวาดหรือคาราเมลช่วยถนอมอาหารและยืดอายุการเก็บรักษาให้ยาวนานขึ้น
- น้ำผึ้ง: น้ำผึ้งที่มีน้ำตาลสูงสามารถถนอมอาหารได้นานและป้องกันการเน่าเสีย
- มาร์ชเมลโล่: น้ำตาลในมาร์ชเมลโล่ทำให้สามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่สูญเสียคุณภาพ
- ผลไม้เคลือบน้ำตาล: น้ำตาลเคลือบช่วยให้ผลไม้แห้งคงความหวานและไม่เน่าเสียเร็ว
ระวังการกินน้ำตาลในอาหารแปรรูป
น้ำตาลในอาหารแปรรูป คือน้ำตาลที่ถูกเติมเข้าไปในกระบวนการผลิตอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ ความหวาน และอายุการเก็บรักษา โดยไม่ได้เป็นน้ำตาลที่มีตามธรรมชาติในอาหารนั้น ๆ น้ำตาลที่เติมในอาหารแปรรูปมักมีหลายรูปแบบ เช่น ซูโครส ฟรุกโทส น้ำเชื่อมข้าวโพด และกลูโคส
- เครื่องดื่มน้ำอัดลม: มีน้ำตาลสูง เช่น ซูโครส หรือน้ำเชื่อมข้าวโพด
- ขนมขบเคี้ยว: เช่น คุกกี้ เค้ก และช็อกโกแลต มีการเติมน้ำตาลเพื่อเพิ่มความหวาน
- โยเกิร์ตรสผลไม้: มักมีน้ำตาลเพิ่มเข้าไปเพื่อปรับปรุงรสชาติ แม้ว่าจะมีผลไม้ตามธรรมชาติ
- ซอสและเครื่องปรุงรส: เช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสบาร์บีคิว และน้ำสลัด มักมีการเติมน้ำตาลเพื่อเพิ่มรสชาติ
- ซีเรียลอาหารเช้า: หลายชนิดที่มีรสหวานจะมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมเพื่อทำให้น่ารับประทานมากขึ้น
- ขนมปังและเบเกอรี่: เช่น ขนมปังแซนด์วิช ขนมปังโฮลวีต หรือครัวซองต์ มักมีการเติมน้ำตาลเพื่อเพิ่มความหวานและเนื้อสัมผัสที่นุ่ม
- น้ำผลไม้สำเร็จรูป: แม้จะมาจากผลไม้ แต่บ่อยครั้งจะมีการเติมน้ำตาลเข้าไปเพื่อเพิ่มความหวานและรสชาติ
- กราโนล่าบาร์หรือโปรตีนบาร์: แม้จะดูเป็นของว่างสุขภาพ แต่บางชนิดมีน้ำตาลซ่อนอยู่มากเพื่อเพิ่มความหวานและเนื้อสัมผัส
- อาหารแช่แข็ง: เช่น พิซซ่าแช่แข็งหรืออาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ มักมีน้ำตาลซ่อนอยู่เพื่อปรับปรุงรสชาติและช่วยในการถนอมอาหาร
- เครื่องดื่มเกลือแร่หรือเครื่องดื่มชูกำลัง: มักเติมน้ำตาลในปริมาณสูงเพื่อเพิ่มรสชาติและพลังงานอย่างรวดเร็ว
น้ำตาลในอาหารแปรรูปมักไม่มีคุณค่าทางโภชนาการอื่น ๆ เช่น วิตามินหรือแร่ธาตุ ทำให้เป็นพลังงานที่ “ว่างเปล่า” โดยไม่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากจากอาหารแปรรูปอาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานเกินจำเป็นและกระตุ้นความอยากอาหาร โดยเฉพาะของหวานและขนมขบเคี้ยว
ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลในอาหารแปรรูป เพราะน้ำตาลในอาหารเหล่านี้มักถูกเติมเข้าไปในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น ซึ่งอาจส่งผลต่อการควบคุมพลังงานและระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลแฝงสูง ร่างกายจะได้รับพลังงานจำนวนมากอย่างรวดเร็ว แต่ระดับพลังงานเหล่านั้นจะลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้เกิดความรู้สึกหิวบ่อย และต้องการอาหารเพิ่มขึ้น
น้ำตาลเป็นสารอาหารที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แม้จะเป็นแหล่งพลังงานหลักที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับก็ตาม เพราะหากบริโภคในปริมาณที่มากไป ก็อาจจะก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายตามมาได้ ดังนั้น จึงควรรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ร่างกายสามารถดึงเอาพลังงานจากน้ำตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ก่อให้เกิดโรคตามมา