21 พฤศจิกายน 2567

ค่า TDS (Total Dissolved Solids) คือปริมาณสารที่ละลายในน้ำ สามารถบ่งชี้ถึงคุณภาพของน้ำดื่มได้

DTS ในน้ำดื่ม
สรุปโดยย่อ: ค่า TDS ในน้ำดื่ม คือปริมาณสารที่ละลายในน้ำ เช่น เกลือแร่และสารประกอบต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม น้ำที่มีค่า TDS ในระดับที่เหมาะสม (50-500 ppm) จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็น แต่ถ้า TDS สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป อาจทำให้รสชาติน้ำเปลี่ยน และไม่เหมาะสำหรับการดื่มในระยะยาว ควรเลือกน้ำที่มีค่า TDS ในระดับที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดี
สารบัญเนื้อหา

น้ำดื่มเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต และมีผลต่อสุขภาพและการเจริญเติบโตของร่างกายมนุษย์ ค่า TDS หรือ Total Dissolved Solids หมายถึงค่าปริมาณของแข็งที่ละลายในน้ำ โดยวัดจากสารต่างๆ ที่ละลายในน้ำ เช่น เกลือแร่ และสารประกอบอื่นๆ การเข้าใจค่า TDS ในน้ำดื่มเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากสารอาหารที่อยู่ในน้ำมีผลต่อการทำงานของร่างกาย การดื่มน้ำที่มี TDS ในระดับที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพที่ดี

ค่า TDS คืออะไร?

TDS หมายถึงปริมาณของแข็งที่ละลายอยู่ในน้ำ ซึ่งประกอบด้วยเกลือแร่ต่างๆ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม และโพแทสเซียม รวมถึงสารประกอบอื่นๆ อย่างคาร์บอเนต คลอไรด์ ซัลเฟต และไนเตรต ค่า TDS ถูกวัดในหน่วยส่วนต่อล้าน (ppm) หรือมิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) การวัดค่า TDS เป็นการบ่งชี้ถึงคุณภาพของน้ำดื่ม แต่ในทางปฏิบัติไม่ใช่ว่า TDS ที่สูงหรือต่ำจะบ่งบอกถึงคุณภาพน้ำที่ดีหรือไม่ดี เนื่องจากสารบางชนิดที่อยู่ในน้ำอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และบางชนิดอาจไม่มีประโยชน์

ความสำคัญของเกลือแร่ในน้ำดื่ม

สารประกอบที่อยู่ในน้ำดื่มในรูปแบบของ TDS มีบทบาทสำคัญต่อการเสริมสร้างสุขภาพ เกลือแร่ที่ละลายในน้ำ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และโซเดียม มีผลดีต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย

1. แคลเซียม (Calcium)

แคลเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก และฟัน นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในกระบวนการทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ น้ำดื่มที่มีค่า TDS ระดับที่เหมาะสมมักมีแคลเซียมอยู่ในปริมาณที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

2. แมกนีเซียม (Magnesium)

แมกนีเซียมเป็นเกลือแร่ที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาท ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน การดื่มน้ำที่มีแมกนีเซียมในปริมาณที่เหมาะสมจึงมีส่วนช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล

3. โซเดียม (Sodium)

โซเดียมเป็นเกลือแร่ที่สำคัญต่อการควบคุมความดันโลหิต และปริมาณน้ำในร่างกาย การดื่มน้ำที่มีค่า TDS ที่มีโซเดียมอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย และการทำงานของหัวใจ และกล้ามเนื้อ

4. โพแทสเซียม (Potassium)

โพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัญในการควบคุมสมดุลของน้ำ และเกลือแร่ในร่างกาย มีส่วนช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาท น้ำดื่มที่มีค่า TDS ที่ประกอบด้วยโพแทสเซียมมีผลดีต่อการรักษาความสมดุลของเกลือแร่ และการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย

เลือกดื่มน้ำที่มีค่า TDS ที่เหมาะสม

การเลือกดื่มน้ำที่มีค่า TDS ที่เหมาะสมมีผลต่อการรับสารอาหารจากเกลือแร่ น้ำดื่มที่มี TDS ต่ำหรือสูงเกินไปอาจส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว แต่ค่า TDS ที่เหมาะสมสำหรับการดื่มน้ำมักอยู่ระหว่าง 50-500 ppm ค่า TDS ระดับนี้มีปริมาณเกลือแร่ที่ช่วยเสริมสุขภาพ แต่ไม่มากเกินไปจนก่อให้เกิดผลกระทบ

น้ำที่มีค่า TDS ต่ำ

น้ำที่มีค่า TDS ต่ำ หมายถึงน้ำที่มีปริมาณของแข็งที่ละลายน้อยกว่า 50 ppm น้ำประเภทนี้มักจะผ่านการกรองหลายขั้นตอน ทำให้สารอาหารต่างๆ ถูกกำจัดออกไปเกือบทั้งหมด การดื่มน้ำที่มีค่า TDS ต่ำอาจทำให้ขาดการรับสารอาหารที่มีประโยชน์จากเกลือแร่ เช่น แคลเซียม และแมกนีเซียม นอกจากนี้น้ำที่มีค่า TDS ต่ำมักจะมีรสจืด เนื่องจากไม่มีแร่ธาตุใดๆ เป็นส่วนประกอบ

น้ำที่มีค่า TDS สูง

น้ำที่มีค่า TDS สูง หมายถึงน้ำที่มีปริมาณของแข็งละลายเกิน 500 ppm น้ำประเภทนี้มักพบในน้ำบาดาล หรือแหล่งน้ำที่มีการละลายแร่ธาตุสูง ค่า TDS ที่สูงมากเกินไปอาจทำให้น้ำมีรสขม หรือเค็ม ซึ่งไม่เหมาะสมสำหรับการบริโภคในระยะยาว การดื่มน้ำที่มีค่า TDS สูงเกินไปอาจเพิ่มปริมาณเกลือแร่ในร่างกายจนเกินความต้องการ และอาจเป็นภาระต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย

ค่า TDS ที่เหมาะสมกับการบริโภคมักอยู่ในช่วง 50-500 ppm การดื่มน้ำที่มีค่า TDS ในระดับนี้ให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และโซเดียม แต่ไม่มากจนก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย น้ำดื่มที่มีค่า TDS ต่ำกว่า 50 ppm อาจขาดสารอาหารจากเกลือแร่ที่จำเป็น น้ำที่มีค่า TDS สูงกว่า 500 ppm อาจทำให้ได้รับเกลือแร่เกินความจำเป็น และส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้

วิธีการตรวจวัดค่า TDS ในน้ำดื่ม

การตรวจวัดค่า TDS ในน้ำดื่มทำได้ง่ายๆ โดยใช้เครื่องวัด TDS ที่มีวางจำหน่ายทั่วไป เครื่องมือเหล่านี้ใช้หลักการวัดค่าการนำไฟฟ้าของน้ำ ซึ่งสามารถบ่งชี้ถึงปริมาณของแข็งที่ละลายในน้ำได้ การใช้เครื่องวัด TDS เป็นวิธีที่รวดเร็วในการประเมินคุณภาพของน้ำดื่ม หากค่า TDS สูงหรือต่ำเกินไป สามารถปรับเปลี่ยนแหล่งน้ำ หรือเลือกใช้น้ำกรองที่เหมาะสมได้

Digital TDS Meter Water Tester
Digital TDS Meter Water Tester

แหล่งน้ำดื่มที่มีค่า TDS เหมาะสม

น้ำที่ผ่านกระบวนการกรองบางประเภทอาจมีค่า TDS ที่เหมาะสม เช่น น้ำกรองระบบรีเวอร์สออสโมซิส (RO) ที่มีการปรับค่า TDS ให้คงอยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการบริโภค นอกจากนี้น้ำแร่ธรรมชาติจากแหล่งน้ำใต้ดินมักมีค่า TDS ที่มีเกลือแร่ต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย น้ำแร่จากแหล่งธรรมชาติหลายแห่งมีค่า TDS อยู่ในช่วง 200-400 ppm ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการดื่มในชีวิตประจำวัน

ตัวชี้วัดอื่นๆ ที่มีผลต่อคุณภาพน้ำดื่ม

นอกจากค่า TDS (Total Dissolved Solids) ที่ใช้ในการวัดคุณภาพของน้ำดื่ม ยังมีค่าตัวชี้วัดอื่นๆ ที่สำคัญ ซึ่งมีผลต่อคุณภาพของน้ำดื่ม การตรวจวัดคุณภาพน้ำดื่มในหลายมิติจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าน้ำที่ดื่มมีความสะอาด ปลอดภัย และมีคุณค่าต่อสุขภาพ

1. ค่า pH

ค่า pH บ่งบอกถึงความเป็นกรดหรือด่างของน้ำ โดยมีค่าช่วงตั้งแต่ 0-14 หากค่า pH น้อยกว่า 7 น้ำจะเป็นกรด หากมากกว่า 7 น้ำจะเป็นด่าง น้ำดื่มที่ดีควรมีค่า pH อยู่ในช่วง 6.5-8.5 ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับการบริโภค

2. ค่าความกระด้าง (Hardness)

ค่าความกระด้างเป็นการวัดปริมาณแร่ธาตุ เช่น แคลเซียมและแมกนีเซียมที่ละลายในน้ำ น้ำที่มีความกระด้างสูงอาจทำให้มีคราบเกลือแร่ตกค้างในอุปกรณ์ แต่ก็มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูก น้ำที่ดีควรมีความกระด้างในระดับที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป

3. ค่าโคลิฟอร์ม (Coliform)

ค่าโคลิฟอร์มเป็นตัวชี้วัดการปนเปื้อนของแบคทีเรียในน้ำ ซึ่งแสดงถึงการปนเปื้อนของสิ่งมีชีวิตในน้ำ น้ำดื่มที่ปลอดภัยไม่ควรพบแบคทีเรียโคลิฟอร์มเลย โดยเฉพาะแบคทีเรียอีโคไล (E. coli) ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

4. ค่าความขุ่น (Turbidity)

ค่าความขุ่นเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีสารแขวนลอยหรือสิ่งสกปรกในน้ำมากน้อยเพียงใด ค่านี้ถูกวัดในหน่วย NTU (Nephelometric Turbidity Units) น้ำดื่มที่มีคุณภาพดีควรมีความขุ่นต่ำ ควรมีค่าความขุ่นน้อยกว่า 1 NTU เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพที่ดี

5. ค่าคลอรีนตกค้าง (Residual Chlorine)

คลอรีนมักถูกใช้ในการฆ่าเชื้อในน้ำดื่ม ค่าคลอรีนตกค้างเป็นการวัดปริมาณคลอรีนที่เหลืออยู่ในน้ำหลังการบำบัด น้ำดื่มที่ดี ไม่ควรมีคลอรีนตกค้างเกิน 0.2-0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร หากมากกว่านี้อาจส่งผลให้รสชาติของน้ำเปลี่ยนและอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

6. ค่าการนำไฟฟ้า (Electrical Conductivity)

ค่าการนำไฟฟ้าคือการวัดความสามารถของน้ำในการนำไฟฟ้า ซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณของเกลือแร่ที่ละลายในน้ำ ค่ายิ่งสูงแสดงถึงการมีเกลือแร่มาก น้ำดื่มที่ดีควรมีค่าการนำไฟฟ้าอยู่ในช่วงที่เหมาะสม ไม่สูงหรือต่ำเกินไป

ค่า TDS ในน้ำดื่มเป็นตัวบ่งชี้ถึงปริมาณเกลือแร่ และสารประกอบที่ละลายอยู่ในน้ำ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างสุขภาพ การดื่มน้ำที่มีค่า TDS ในระดับที่เหมาะสมช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารจากเกลือแร่ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และโซเดียม ค่า TDS ที่เหมาะสมสำหรับการบริโภคควรอยู่ระหว่าง 50-500 ppm ทั้งนี้ควรพิจารณาเลือกแหล่งน้ำดื่มที่มีค่า TDS ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นจากน้ำดื่มในชีวิตประจำวัน และช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง

คนญี่ปุ่นสนใจค่า TDS ในน้ำดื่มเพราะค่า TDS บอกได้ว่าน้ำมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายมากน้อยแค่ไหน เช่น แคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพ คนญี่ปุ่นใส่ใจเรื่องสุขภาพมาก การเลือกดื่มน้ำที่มีค่า TDS เหมาะสมจึงช่วยให้ได้รับประโยชน์จากแร่ธาตุในน้ำแบบพอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป

ถ้าดื่มน้ำที่มีค่า TDS ไม่ได้มาตรฐานเป็นเวลานาน ผลกระทบต่อร่างกายจะค่อยๆ สะสม โดยน้ำที่มีค่า TDS ต่ำเกินไป อาจทำให้ร่างกายขาดแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น แคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูกและระบบประสาท ในขณะที่น้ำที่มีค่า TDS สูงเกินไป อาจทำให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุมากเกินไป เช่น โซเดียมหรือแร่ธาตุบางชนิด ซึ่งอาจทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นในการขับของเสีย ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบกรองของร่างกาย

ดังนั้นการดื่มน้ำที่มีค่า TDS สูงหรือต่ำเกินไปในระยะยาว อาจทำให้สุขภาพเสื่อมลงโดยที่ไม่รู้ตัว แนะนำให้เลือกดื่มน้ำที่มีค่า TDS ในระดับที่เหมาะสม เพื่อป้องกันผลกระทบเหล่านี้

รู้หรือไม่?

น้ำจากแหล่งธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ หรือน้ำตก มักมีค่า TDS ที่อยู่ในระดับปานกลาง 50-200 และมักมีเกลือแร่บางชนิดละลายอยู่ แต่ค่า TDS อาจเปลี่ยนแปลงได้หากแหล่งน้ำได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อน หรือการชะล้างแร่ธาตุจากพื้นดินมากขึ้น ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่และสภาพแวดล้อม

เรื่องแนะนำ

บทความแนะนำ