วิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินอีกหนึ่งชนิดที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย พบได้ในผัก ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว และอาหารเสริมประเภทต่างๆ โดยมีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ต่อต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย และช่วยป้องกันไข้หวัดได้ง่าย อีกทั้งยังมีประโยชน์ช่วยบำรุงผิวให้มีความเปล่งปลั่งกระจ่างใสได้อีกด้วย โดยในแต่ละวันนั้นร่างกายจำเป็นต้องได้รับปริมาณวิตามินซีที่เพียงพอ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้
ประโยชน์ของวิตามินซี
วิตามินมีประโยชน์ด้วยกันหลายด้าน เพราะช่วยให้ร่างกายสามารถปรับสมดุล ซ่อมแซม และฟื้นฟูระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีหน้าที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ ช่วยรักษาสมานแผล และสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว จึงทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส โดยสามารถแยกประโยชน์ที่เห็นได้ชัดจากวิตามินซีเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
1. เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
เมื่อรับประทานวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน ร่างกายก็จะได้รับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น โดยจะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้หวัด และป้องกันการแพร่กระจายเข้าสู่ร่างกายของเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ นอกจากนี้ ยังช่วยลดอาการภูมิแพ้ให้ผู้ที่เป็นภูมิแพ้เรื้อรังได้เป็นอย่างดี
2. บำรุงผิวพรรณ
ภายในวิตามินซี มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เมื่อรับประทานแล้ว ก็จะช่วยบำรุงผิวพรรณจากภายในให้เกิดความเปล่งปลั่งสดใส ผิวมีน้ำมีนวล แลดูสุขภาพดี ผู้ที่เป็นสิว เป็นฝ้า ก็จะพบว่าผิวหน้ากระจ่างใส และเรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำ และรอยสิวต่างๆ ให้จางลงได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว จึงสามารถชะลอรอยเหี่ยวย่นหรือริ้วรอยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
3. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
วิตามินซีมีสารไนโตรซามีน เป็นสารที่ช่วยต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งภายในร่างกาย จึงสามารถลดอัตราเสี่ยงในเกิดโรคมะเร็งและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่มีความผิดปกติได้
4. ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี
วิตามินซีเป็นตัวช่วยสำคัญในการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกาย หากมีปริมาณวิตามินซีที่เพียงพอก็จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กเป็นไปได้ดีมากยิ่งขึ้น
5. ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
คุณสมบัติสำคัญที่เป็นตัวชูโรงของวิตามินซีก็คือ การป้องกันเลือดออกตามไรฟัน เพราะวิตามินซีมีส่วนสำคัญในการป้องกันเลือดออกตามเนื้อเยื่อหลายแห่งของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณเหงือกที่พบว่ามักจะมีเลือดออกบ่อยที่สุด
6. ช่วยให้แผลหายเร็ว
สำหรับคนที่ผ่าตัด หรือมีแผลบริเวณต่างๆ ของร่างกาย การรับประทานวิตามินซีจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น จึงเหมาะสำหรับการบริโภคในผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง หรือแผลอักเสบที่รักษาไม่หาย
7. ทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติ
วิตามินซียังช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกกลับมาขับถ่ายได้เป็นปกติ เพราะมีสรรพคุณที่สามารถใช้แทนยาระบายได้
8. ช่วยคลายเครียด
การรับประทานวิตามินซีเป็นประจำ จะช่วยให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สามารถลดระดับความเครียดลงได้ หากรับประทานติดต่อกัน จะช่วยรักษาภาวะซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี
วิตามินซียังมีความสำคัญในการดูดซึมธาตุเหล็ก โดยเฉพาะเหล็กจากพืช เมื่อรับประทานวิตามินซีร่วมกับอาหารที่มีเหล็ก เช่น ผักโขมหรือธัญพืช ร่างกายจะดูดซึมเหล็กได้ดีขึ้น การบริโภควิตามินซีอย่างเหมาะสมจึงมีส่วนช่วยในการส่งเสริมระบบเมตาบอลิซึม และการขนส่งออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ
ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับประทานในแต่ละวัน
วิตามินซีที่แนะนำต่อร่างกายในสภาวะปกติ ควรบริโภคที่ประมาณ 60 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมได้แนะนำว่า หากต้องการให้วิตามินซีออกฤทธิ์ต่อสุขภาพได้ดีมากที่สุด ควรรับประทานวันละอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัม ส่วนผู้ที่มีความเครียดสูง ควรรับประทานที่ 500 มิลลิกรัมต่อวัน หรือถ้าต้องการรับประทานเพื่อป้องกันโรคต่างๆ เช่น ชะลอความชราภาพ หรือป้องกันโรคมะเร็ง ควรรับประทานอย่างน้อย 250 มิลลิกรัมต่อวัน หรือมากที่สุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
หากบริโภควิตามินในปริมาณน้อยกว่าที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ ก็จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ โดยเฉพาะโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น หากขาดวิตามินซีต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายเดือน หรือหลายปี แต่ในขณะเดียวกัน หากร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไป ก็จะไม่ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากวิตามินซีสามารถละลายน้ำได้ จึงทำให้ร่างกายจะขับวิตามินซีส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะหรืออาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้นั่นเอง
อาหารที่มีวิตามินซีสูง
อาหารที่มีวิตามินซีสูงส่วนใหญ่จะพบในผักและผลไม้สด ตัวอย่างของอาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่:
- ผลไม้ตระกูลส้ม: ส้ม, มะนาว, เกรปฟรุต, ส้มโอ
- ผลไม้เบอร์รี่: สตรอว์เบอร์รี, บลูเบอร์รี, ราสเบอร์รี
- ฝรั่ง: เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก
- กีวี: ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงและมีไฟเบอร์
- พริกหวาน: ทั้งพริกหวานสีแดง เขียว และเหลืองมีวิตามินซีสูงมาก
- บรอกโคลี: ผักที่มีวิตามินซีสูงรวมถึงมีสารอาหารอื่นๆ เช่น ไฟเบอร์ และแคลเซียม
- ผักโขม: ผักใบเขียวที่มีวิตามินซี รวมถึงธาตุเหล็ก
- มะเขือเทศ: เป็นแหล่งของวิตามินซี รวมถึงไลโคปีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
ตารางแสดงอาหารที่มีวิตามิน C
ชื่ออาหาร | หน่วยบริโภค | ปริมาณวิตามินซีใน 1 หน่วย | สัดส่วนของวิตามินซี |
---|---|---|---|
ฝรั่ง | 1 ลูก (55 กรัม) | 228.3 มิลลิกรัม | สูง |
พริกหวานสีเหลือง | 1 ถ้วย (150 กรัม) | 183.5 มิลลิกรัม | สูง |
ส้มโอ | 1 ถ้วย (230 กรัม) | 161 มิลลิกรัม | สูง |
กีวี | 1 ลูก (76 กรัม) | 92.7 มิลลิกรัม | สูง |
บรอกโคลี | 1 ถ้วย (91 กรัม) | 81.2 มิลลิกรัม | สูง |
สตรอว์เบอร์รี | 1 ถ้วย (152 กรัม) | 89.4 มิลลิกรัม | กลาง |
มะละกอสุก | 1 ถ้วย (145 กรัม) | 88.3 มิลลิกรัม | กลาง |
สับปะรด | 1 ถ้วย (165 กรัม) | 78.9 มิลลิกรัม | กลาง |
ผักโขม | 1 ถ้วย (30 กรัม) | 28.1 มิลลิกรัม | ต่ำ |
มะเขือเทศ | 1 ลูก (123 กรัม) | 20.4 มิลลิกรัม | ต่ำ |
แอปเปิล | 1 ลูก (182 กรัม) | 8.4 มิลลิกรัม | ต่ำ |
แตงกวา | 1 ถ้วย (104 กรัม) | 4.5 มิลลิกรัม | ต่ำ |
กล้วย | 1 ลูก (118 กรัม) | 10.3 มิลลิกรัม | ต่ำ |
บลูเบอร์รี | 1 ถ้วย (148 กรัม) | 14.4 มิลลิกรัม | ต่ำ |
เคล | 1 ถ้วย (67 กรัม) | 80.4 มิลลิกรัม | สูง |
ส้ม | 1 ลูก (131 กรัม) | 69.7 มิลลิกรัม | กลาง |
มะม่วงสุก | 1 ถ้วย (165 กรัม) | 60.1 มิลลิกรัม | กลาง |
ลูกพลัม | 1 ถ้วย (165 กรัม) | 75.1 มิลลิกรัม | กลาง |
ฝรั่งสีขาว | 1 ถ้วย (110 กรัม) | 376 มิลลิกรัม | สูง |
มะนาว | 1 ลูก (67 กรัม) | 30.7 มิลลิกรัม | ต่ำ |
พริกหวานเขียว | 1 ถ้วย (92 กรัม) | 119.8 มิลลิกรัม | สูง |
ขี้เหล็ก | 1 ถ้วย (200 กรัม) | 124 มิลลิกรัม | สูง |
บ๊วยดอง | 1 ลูก (10 กรัม) | 22 มิลลิกรัม | ต่ำ |
เงาะ | 5 ลูก (75 กรัม) | 75 มิลลิกรัม | กลาง |
ลิ้นจี่ | 5 ลูก (100 กรัม) | 71.5 มิลลิกรัม | กลาง |
ลูกเกด | 1 ถ้วย (145 กรัม) | 10 มิลลิกรัม | ต่ำ |
เชอร์รี่ | 1 ถ้วย (154 กรัม) | 15.5 มิลลิกรัม | ต่ำ |
กะหล่ำปลี | 1 ถ้วย (89 กรัม) | 36.6 มิลลิกรัม | กลาง |
พริกหวานแดง | 1 ถ้วย (92 กรัม) | 190 มิลลิกรัม | สูง |
ผักคะน้า | 1 ถ้วย (130 กรัม) | 84.5 มิลลิกรัม | สูง |
ผักกาดหอม | 1 ถ้วย (50 กรัม) | 11.7 มิลลิกรัม | ต่ำ |
ผักกวางตุ้ง | 1 ถ้วย (85 กรัม) | 45 มิลลิกรัม | กลาง |
น้ำมะนาวสด | 1 ถ้วย (240 มล.) | 112 มิลลิกรัม | สูง |
มะขามป้อม | 1 ลูก (10 กรัม) | 27 มิลลิกรัม | ต่ำ |
ส้มโอแดง | 1 ถ้วย (230 กรัม) | 118 มิลลิกรัม | สูง |
แก้วมังกร | 1 ถ้วย (150 กรัม) | 8.5 มิลลิกรัม | ต่ำ |
ถั่วลันเตา | 1 ถ้วย (160 กรัม) | 40 มิลลิกรัม | กลาง |
ผักบุ้ง | 1 ถ้วย (56 กรัม) | 28 มิลลิกรัม | ต่ำ |
แครอท | 1 ถ้วย (128 กรัม) | 9 มิลลิกรัม | ต่ำ |
ดอกกะหล่ำ | 1 ถ้วย (100 กรัม) | 48 มิลลิกรัม | กลาง |
ส้มเขียวหวาน | 1 ลูก (88 กรัม) | 26.7 มิลลิกรัม | ต่ำ |
มะพร้าวน้ำหอม | 1 ถ้วย (240 มล.) | 6 มิลลิกรัม | ต่ำ |
ฟักทอง | 1 ถ้วย (116 กรัม) | 14 มิลลิกรัม | ต่ำ |
หัวไชเท้า | 1 ถ้วย (116 กรัม) | 17 มิลลิกรัม | ต่ำ |
มะเขือยาว | 1 ถ้วย (82 กรัม) | 2.2 มิลลิกรัม | ต่ำ |
การรับประทานผักและผลไม้เหล่านี้เป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ
เทคนิคเพิ่มวิตามินซีในชีวิตประจำวัน
การเพิ่มปริมาณวิตามินซีในชีวิตประจำวันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เพิ่มผลไม้สด หรือผักในมื้ออาหารหลัก และอาหารว่างก็เพียงพอแล้ว
- เพิ่มผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง และสตรอว์เบอร์รี ในมื้ออาหารหลัก และอาหารว่าง
- เลือกทานสลัดผักสดที่มีส่วนประกอบของผักที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น พริกหวาน และบรอกโคลี
- ดื่มน้ำผลไม้สดที่ไม่เติมน้ำตาล เช่น น้ำส้มคั้น หรือสมูทตี้ที่ทำจากผลไม้สด
- ปรุงอาหารด้วยวิธีที่รักษาสารอาหาร เช่น การนึ่ง หรือการปรุงด้วยความร้อนต่ำ เพื่อคงปริมาณวิตามินซีในอาหาร
- แบ่งรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีตลอดทั้งวัน เพื่อรักษาระดับวิตามินซีในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจากวิตามินซี ควรบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีหลากหลาย โดยเน้นผักผลไม้สดที่ไม่ผ่านการปรุงอาหารด้วยความร้อนสูง และควรแบ่งรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีตลอดวัน เพื่อรักษาระดับวิตามินซีในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
การดูดซึมของวิตามินซี
วิตามินซีจะดูดซึมได้มากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน หากรับประทานมากเกินจุดอิ่มตัวก็จะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้หมด จากปริมาณวิตามินซีที่รับประทานครั้งละ 1,000-1,500 มิลลิกรัม ร่างกายจะดูดซึมไปใช้เพียง 50% เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบริโภควิตามินซีต่อวันในปริมาณมาก ควรทานให้อยู่ในระดับที่เพียงพอเท่าที่ร่างกายต้องการจะดีที่สุด
วิตามินซีเป็นสารอาหารที่ละลายในน้ำและร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมได้ การรับประทานวิตามินซีในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิตามินซีป้องกันหวัดได้จริงหรือไม่?
จากการวิจัยพบว่า การรับประทานวิตามินซีติดต่อกันหลายวัน ในผู้ที่เป็นหวัด วิตามินซีจะไม่สามารถรักษาไข้หวัดได้หายขาด แต่สามารถลดความรุนแรงที่เกิดจากอาการของหวัดได้ โดยผู้ที่ต้องการรับประทานวิตามินซีเพื่อลดความรุนแรงของหวัดนั้น ควรรับประทานในปริมาณ 1-3 กรัมต่อวัน และถ้าจะให้ดี แนะนำให้รับประทานตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ควรรอให้เป็นหวัดแล้วค่อยมารับประทาน
วิตามินซีช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น จึงมีโอกาสติดหวัดน้อยลง และแม้จะเป็นหวัด วิตามินซียังช่วยให้หายเร็วขึ้น แต่ไม่ได้ป้องกันหวัดได้ 100% เพียงแค่ช่วยลดความรุนแรง และระยะเวลาที่ป่วย
แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าวิตามินซีสามารถ “ป้องกัน” การเป็นหวัดได้โดยตรง แต่จากการวิจัยพบว่า การรับประทานวิตามินซีเป็นประจำช่วยลดความรุนแรงของอาการหวัด และลดระยะเวลาที่เป็นหวัดลง โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเครียดทางกาย หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น นักกีฬาหรือผู้ที่อยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็น
อย่างไรก็ตาม การทานวิตามินซีหลังจากเริ่มมีอาการหวัดอาจไม่ได้ช่วยให้หายป่วยได้ทันที แต่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และทำให้อาการไม่รุนแรงมากนัก กล่าวคือวิตามินซีไม่ได้ป้องกันหวัดได้แบบสมบูรณ์ แต่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายรับมือกับหวัดได้ดีขึ้น ลดความรุนแรงของอาการ และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
วิตามินซี = สารต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ อนุมูลอิสระเป็นสารที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย และอาจทำให้เซลล์เสียหายได้หากเกิดสะสมในปริมาณมาก การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงจากการทำลายของอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ วิตามินซียังสามารถช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันเชื้อโรคและสารแปลกปลอมอื่น ๆ ที่อาจเข้าสู่ร่างกาย
วิตามินซีธรรมชาติ VS วิตามินซีเสริม
วิตามินซีสามารถรับประทานได้จากแหล่งธรรมชาติ และจากอาหารเสริม แม้ว่าทั้งสองรูปแบบจะให้ประโยชน์ในการเสริมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย แต่การรับวิตามินซีจากอาหารธรรมชาติจะดีกว่า เพราะนอกจากจะได้รับวิตามินซีแล้วยังได้รับสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ร่วมด้วย
ในกรณีที่ไม่สามารถรับวิตามินซีจากอาหารได้เพียงพอ การเสริมวิตามินซีในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูลก็เป็นทางเลือกที่ดี อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังในการใช้วิตามินซีเสริมในปริมาณที่มากเกินไป เพราะการรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากอาจมีผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารได้
ทำไมวิตามินซีถึงเสื่อมสลายเมื่อโดนความร้อน?
วิตามินซีเป็นวิตามินที่มีความไวต่อแสง ความร้อน และอากาศ ซึ่งหมายความว่าเมื่ออาหารที่มีวิตามินซีสัมผัสกับความร้อนสูง เช่น การต้ม การทอด หรือการอบ ปริมาณวิตามินซีในอาหารนั้นจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การทำอาหารโดยใช้ความร้อนมากเกินไปอาจทำให้วิตามินซีเสื่อมสลายได้ถึง 50% หรือมากกว่านั้น
การต้มอาหารในน้ำเป็นเวลานานทำให้วิตามินซีละลายออกไปในน้ำและสูญเสียประสิทธิภาพ การสัมผัสกับอากาศหรือการถูกเก็บรักษาเป็นเวลานานก็ทำให้วิตามินซีลดลงเช่นกัน
วิธีรักษาวิตามินซีในอาหาร
เพื่อให้สามารถรักษาปริมาณวิตามินซีในอาหารได้อย่างเหมาะสม ควรปฏิบัติตามแนวทางดังนี้:
- ปรุงอาหารด้วยความร้อนต่ำ: ใช้วิธีปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนต่ำ เช่น การนึ่ง หรือการผัดอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการเสื่อมสลายของวิตามินซี
- หลีกเลี่ยงการต้มอาหารนานเกินไป: การต้มอาหารในเวลาสั้นจะช่วยลดการสูญเสียวิตามินซี โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำซุปหรือซอส
- ใช้วิธีการปรุงที่ไม่ต้องใช้ความร้อน: การทานผักผลไม้สด เช่น สลัด จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเต็มที่
- การเก็บรักษาที่เหมาะสม: ควรเก็บผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีในที่เย็นและปิดสนิท เพื่อลดการสัมผัสกับอากาศและแสง
- การใช้วิธีนึ่งแทนการต้ม: การนึ่งเป็นวิธีที่ช่วยรักษาสารอาหารได้ดีกว่าการต้ม เพราะวิตามินซีจะถูกเก็บรักษาอยู่ในอาหารมากกว่า
วิตามินซีจะเริ่มเสื่อมสลายเมื่อโดนความร้อนที่ประมาณ 70-75 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ความร้อนสูงขึ้นจากจุดนี้จะทำให้การสูญเสียวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความร้อนเกิน 100 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ใช้ในการต้มอาหาร นอกจากนี้การสัมผัสกับความร้อนเป็นเวลานาน เช่น การต้มผักในน้ำเดือดเป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้วิตามินซีถูกทำลายไปมากขึ้น
วิตามินซี เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์หลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง หากเกิดอาการข้างเคียงจากการรับประทาน เช่น ท้องเสีย ปัสสาวะบ่อย ไม่สบายท้อง ควรหยุดรับประทานทันที และปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการทานที่เหมาะสม