2 เมษายน 2568

วิตามินซี (Vitamin C) พบได้ในผักผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ต่อต้านอนุมูลอิสระ

วิตามินซี (Vitamin C)
สรุปโดยย่อ: วิตามินซี (Vitamin C) เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การทานผลไม้และผักสด เช่น ฝรั่ง ส้ม และบรอกโคลี จะทำให้เราได้รับวิตามินซีอย่างเต็มที่ แต่ถ้าโดนความร้อนสูงเกิน 70-75 องศาเซลเซียส วิตามินซีจะเสื่อมสลายได้ง่าย ดังนั้นการนึ่งหรือทานสดเป็นวิธีที่ดีในการรักษาประโยชน์ของวิตามินซีได้ดีที่สุด
สารบัญเนื้อหา

วิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินอีกหนึ่งชนิดที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย พบได้ในผัก ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว และอาหารเสริมประเภทต่างๆ โดยมีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ต่อต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย และช่วยป้องกันไข้หวัดได้ง่าย อีกทั้งยังมีประโยชน์ช่วยบำรุงผิวให้มีความเปล่งปลั่งกระจ่างใสได้อีกด้วย โดยในแต่ละวันนั้นร่างกายจำเป็นต้องได้รับปริมาณวิตามินซีที่เพียงพอ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้

ประโยชน์ของวิตามินซี

วิตามินมีประโยชน์ด้วยกันหลายด้าน เพราะช่วยให้ร่างกายสามารถปรับสมดุล ซ่อมแซม และฟื้นฟูระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีหน้าที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ ช่วยรักษาสมานแผล และสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว จึงทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส โดยสามารถแยกประโยชน์ที่เห็นได้ชัดจากวิตามินซีเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1. เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

เมื่อรับประทานวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน ร่างกายก็จะได้รับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น โดยจะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้หวัด และป้องกันการแพร่กระจายเข้าสู่ร่างกายของเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ นอกจากนี้ ยังช่วยลดอาการภูมิแพ้ให้ผู้ที่เป็นภูมิแพ้เรื้อรังได้เป็นอย่างดี

2. บำรุงผิวพรรณ

ภายในวิตามินซี มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เมื่อรับประทานแล้ว ก็จะช่วยบำรุงผิวพรรณจากภายในให้เกิดความเปล่งปลั่งสดใส ผิวมีน้ำมีนวล แลดูสุขภาพดี ผู้ที่เป็นสิว เป็นฝ้า ก็จะพบว่าผิวหน้ากระจ่างใส และเรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำ และรอยสิวต่างๆ ให้จางลงได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว จึงสามารถชะลอรอยเหี่ยวย่นหรือริ้วรอยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

3. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง

วิตามินซีมีสารไนโตรซามีน เป็นสารที่ช่วยต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งภายในร่างกาย จึงสามารถลดอัตราเสี่ยงในเกิดโรคมะเร็งและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่มีความผิดปกติได้

4. ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี

วิตามินซีเป็นตัวช่วยสำคัญในการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกาย หากมีปริมาณวิตามินซีที่เพียงพอก็จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กเป็นไปได้ดีมากยิ่งขึ้น

5. ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน

คุณสมบัติสำคัญที่เป็นตัวชูโรงของวิตามินซีก็คือ การป้องกันเลือดออกตามไรฟัน เพราะวิตามินซีมีส่วนสำคัญในการป้องกันเลือดออกตามเนื้อเยื่อหลายแห่งของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณเหงือกที่พบว่ามักจะมีเลือดออกบ่อยที่สุด

6. ช่วยให้แผลหายเร็ว

สำหรับคนที่ผ่าตัด หรือมีแผลบริเวณต่างๆ ของร่างกาย การรับประทานวิตามินซีจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น จึงเหมาะสำหรับการบริโภคในผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง หรือแผลอักเสบที่รักษาไม่หาย

7. ทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติ

วิตามินซียังช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกกลับมาขับถ่ายได้เป็นปกติ เพราะมีสรรพคุณที่สามารถใช้แทนยาระบายได้

8. ช่วยคลายเครียด

การรับประทานวิตามินซีเป็นประจำ จะช่วยให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สามารถลดระดับความเครียดลงได้ หากรับประทานติดต่อกัน จะช่วยรักษาภาวะซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี

วิตามินซียังมีความสำคัญในการดูดซึมธาตุเหล็ก โดยเฉพาะเหล็กจากพืช เมื่อรับประทานวิตามินซีร่วมกับอาหารที่มีเหล็ก เช่น ผักโขมหรือธัญพืช ร่างกายจะดูดซึมเหล็กได้ดีขึ้น การบริโภควิตามินซีอย่างเหมาะสมจึงมีส่วนช่วยในการส่งเสริมระบบเมตาบอลิซึม และการขนส่งออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ

ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับประทานในแต่ละวัน

วิตามินซีที่แนะนำต่อร่างกายในสภาวะปกติ ควรบริโภคที่ประมาณ 60 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมได้แนะนำว่า หากต้องการให้วิตามินซีออกฤทธิ์ต่อสุขภาพได้ดีมากที่สุด ควรรับประทานวันละอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัม ส่วนผู้ที่มีความเครียดสูง ควรรับประทานที่ 500 มิลลิกรัมต่อวัน หรือถ้าต้องการรับประทานเพื่อป้องกันโรคต่างๆ เช่น ชะลอความชราภาพ หรือป้องกันโรคมะเร็ง ควรรับประทานอย่างน้อย 250 มิลลิกรัมต่อวัน หรือมากที่สุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

หากบริโภควิตามินในปริมาณน้อยกว่าที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ ก็จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ โดยเฉพาะโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น หากขาดวิตามินซีต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายเดือน หรือหลายปี แต่ในขณะเดียวกัน หากร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไป ก็จะไม่ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากวิตามินซีสามารถละลายน้ำได้ จึงทำให้ร่างกายจะขับวิตามินซีส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะหรืออาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้นั่นเอง

อาหารที่มีวิตามินซีสูง

อาหารที่มีวิตามินซีสูงส่วนใหญ่จะพบในผักและผลไม้สด ตัวอย่างของอาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่:

  1. ผลไม้ตระกูลส้ม: ส้ม, มะนาว, เกรปฟรุต, ส้มโอ
  2. ผลไม้เบอร์รี่: สตรอว์เบอร์รี, บลูเบอร์รี, ราสเบอร์รี
  3. ฝรั่ง: เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก
  4. กีวี: ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงและมีไฟเบอร์
  5. พริกหวาน: ทั้งพริกหวานสีแดง เขียว และเหลืองมีวิตามินซีสูงมาก
  6. บรอกโคลี: ผักที่มีวิตามินซีสูงรวมถึงมีสารอาหารอื่นๆ เช่น ไฟเบอร์ และแคลเซียม
  7. ผักโขม: ผักใบเขียวที่มีวิตามินซี รวมถึงธาตุเหล็ก
  8. มะเขือเทศ: เป็นแหล่งของวิตามินซี รวมถึงไลโคปีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

ตารางแสดงอาหารที่มีวิตามิน C

ชื่ออาหาร หน่วยบริโภค ปริมาณวิตามินซีใน 1 หน่วย สัดส่วนของวิตามินซี
ฝรั่ง 1 ลูก (55 กรัม) 228.3 มิลลิกรัม สูง
พริกหวานสีเหลือง 1 ถ้วย (150 กรัม) 183.5 มิลลิกรัม สูง
ส้มโอ 1 ถ้วย (230 กรัม) 161 มิลลิกรัม สูง
กีวี 1 ลูก (76 กรัม) 92.7 มิลลิกรัม สูง
บรอกโคลี 1 ถ้วย (91 กรัม) 81.2 มิลลิกรัม สูง
สตรอว์เบอร์รี 1 ถ้วย (152 กรัม) 89.4 มิลลิกรัม กลาง
มะละกอสุก 1 ถ้วย (145 กรัม) 88.3 มิลลิกรัม กลาง
สับปะรด 1 ถ้วย (165 กรัม) 78.9 มิลลิกรัม กลาง
ผักโขม 1 ถ้วย (30 กรัม) 28.1 มิลลิกรัม ต่ำ
มะเขือเทศ 1 ลูก (123 กรัม) 20.4 มิลลิกรัม ต่ำ
แอปเปิล 1 ลูก (182 กรัม) 8.4 มิลลิกรัม ต่ำ
แตงกวา 1 ถ้วย (104 กรัม) 4.5 มิลลิกรัม ต่ำ
กล้วย 1 ลูก (118 กรัม) 10.3 มิลลิกรัม ต่ำ
บลูเบอร์รี 1 ถ้วย (148 กรัม) 14.4 มิลลิกรัม ต่ำ
เคล 1 ถ้วย (67 กรัม) 80.4 มิลลิกรัม สูง
ส้ม 1 ลูก (131 กรัม) 69.7 มิลลิกรัม กลาง
มะม่วงสุก 1 ถ้วย (165 กรัม) 60.1 มิลลิกรัม กลาง
ลูกพลัม 1 ถ้วย (165 กรัม) 75.1 มิลลิกรัม กลาง
ฝรั่งสีขาว 1 ถ้วย (110 กรัม) 376 มิลลิกรัม สูง
มะนาว 1 ลูก (67 กรัม) 30.7 มิลลิกรัม ต่ำ
พริกหวานเขียว 1 ถ้วย (92 กรัม) 119.8 มิลลิกรัม สูง
ขี้เหล็ก 1 ถ้วย (200 กรัม) 124 มิลลิกรัม สูง
บ๊วยดอง 1 ลูก (10 กรัม) 22 มิลลิกรัม ต่ำ
เงาะ 5 ลูก (75 กรัม) 75 มิลลิกรัม กลาง
ลิ้นจี่ 5 ลูก (100 กรัม) 71.5 มิลลิกรัม กลาง
ลูกเกด 1 ถ้วย (145 กรัม) 10 มิลลิกรัม ต่ำ
เชอร์รี่ 1 ถ้วย (154 กรัม) 15.5 มิลลิกรัม ต่ำ
กะหล่ำปลี 1 ถ้วย (89 กรัม) 36.6 มิลลิกรัม กลาง
พริกหวานแดง 1 ถ้วย (92 กรัม) 190 มิลลิกรัม สูง
ผักคะน้า 1 ถ้วย (130 กรัม) 84.5 มิลลิกรัม สูง
ผักกาดหอม 1 ถ้วย (50 กรัม) 11.7 มิลลิกรัม ต่ำ
ผักกวางตุ้ง 1 ถ้วย (85 กรัม) 45 มิลลิกรัม กลาง
น้ำมะนาวสด 1 ถ้วย (240 มล.) 112 มิลลิกรัม สูง
มะขามป้อม 1 ลูก (10 กรัม) 27 มิลลิกรัม ต่ำ
ส้มโอแดง 1 ถ้วย (230 กรัม) 118 มิลลิกรัม สูง
แก้วมังกร 1 ถ้วย (150 กรัม) 8.5 มิลลิกรัม ต่ำ
ถั่วลันเตา 1 ถ้วย (160 กรัม) 40 มิลลิกรัม กลาง
ผักบุ้ง 1 ถ้วย (56 กรัม) 28 มิลลิกรัม ต่ำ
แครอท 1 ถ้วย (128 กรัม) 9 มิลลิกรัม ต่ำ
ดอกกะหล่ำ 1 ถ้วย (100 กรัม) 48 มิลลิกรัม กลาง
ส้มเขียวหวาน 1 ลูก (88 กรัม) 26.7 มิลลิกรัม ต่ำ
มะพร้าวน้ำหอม 1 ถ้วย (240 มล.) 6 มิลลิกรัม ต่ำ
ฟักทอง 1 ถ้วย (116 กรัม) 14 มิลลิกรัม ต่ำ
หัวไชเท้า 1 ถ้วย (116 กรัม) 17 มิลลิกรัม ต่ำ
มะเขือยาว 1 ถ้วย (82 กรัม) 2.2 มิลลิกรัม ต่ำ

การรับประทานผักและผลไม้เหล่านี้เป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ

เทคนิคเพิ่มวิตามินซีในชีวิตประจำวัน

การเพิ่มปริมาณวิตามินซีในชีวิตประจำวันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เพิ่มผลไม้สด หรือผักในมื้ออาหารหลัก และอาหารว่างก็เพียงพอแล้ว

  • เพิ่มผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง และสตรอว์เบอร์รี ในมื้ออาหารหลัก และอาหารว่าง
  • เลือกทานสลัดผักสดที่มีส่วนประกอบของผักที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น พริกหวาน และบรอกโคลี
  • ดื่มน้ำผลไม้สดที่ไม่เติมน้ำตาล เช่น น้ำส้มคั้น หรือสมูทตี้ที่ทำจากผลไม้สด
  • ปรุงอาหารด้วยวิธีที่รักษาสารอาหาร เช่น การนึ่ง หรือการปรุงด้วยความร้อนต่ำ เพื่อคงปริมาณวิตามินซีในอาหาร
  • แบ่งรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีตลอดทั้งวัน เพื่อรักษาระดับวิตามินซีในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ

เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจากวิตามินซี ควรบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีหลากหลาย โดยเน้นผักผลไม้สดที่ไม่ผ่านการปรุงอาหารด้วยความร้อนสูง และควรแบ่งรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีตลอดวัน เพื่อรักษาระดับวิตามินซีในเลือดอย่างสม่ำเสมอ

การดูดซึมของวิตามินซี

วิตามินซีจะดูดซึมได้มากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน หากรับประทานมากเกินจุดอิ่มตัวก็จะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้หมด จากปริมาณวิตามินซีที่รับประทานครั้งละ 1,000-1,500 มิลลิกรัม ร่างกายจะดูดซึมไปใช้เพียง 50% เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบริโภควิตามินซีต่อวันในปริมาณมาก ควรทานให้อยู่ในระดับที่เพียงพอเท่าที่ร่างกายต้องการจะดีที่สุด

วิตามินซีเป็นสารอาหารที่ละลายในน้ำและร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมได้ การรับประทานวิตามินซีในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิตามินซีป้องกันหวัดได้จริงหรือไม่?

จากการวิจัยพบว่า การรับประทานวิตามินซีติดต่อกันหลายวัน ในผู้ที่เป็นหวัด วิตามินซีจะไม่สามารถรักษาไข้หวัดได้หายขาด แต่สามารถลดความรุนแรงที่เกิดจากอาการของหวัดได้ โดยผู้ที่ต้องการรับประทานวิตามินซีเพื่อลดความรุนแรงของหวัดนั้น ควรรับประทานในปริมาณ 1-3 กรัมต่อวัน และถ้าจะให้ดี แนะนำให้รับประทานตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ควรรอให้เป็นหวัดแล้วค่อยมารับประทาน

วิตามินซีช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น จึงมีโอกาสติดหวัดน้อยลง และแม้จะเป็นหวัด วิตามินซียังช่วยให้หายเร็วขึ้น แต่ไม่ได้ป้องกันหวัดได้ 100% เพียงแค่ช่วยลดความรุนแรง และระยะเวลาที่ป่วย

แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าวิตามินซีสามารถ “ป้องกัน” การเป็นหวัดได้โดยตรง แต่จากการวิจัยพบว่า การรับประทานวิตามินซีเป็นประจำช่วยลดความรุนแรงของอาการหวัด และลดระยะเวลาที่เป็นหวัดลง โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเครียดทางกาย หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น นักกีฬาหรือผู้ที่อยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็น

อย่างไรก็ตาม การทานวิตามินซีหลังจากเริ่มมีอาการหวัดอาจไม่ได้ช่วยให้หายป่วยได้ทันที แต่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และทำให้อาการไม่รุนแรงมากนัก กล่าวคือวิตามินซีไม่ได้ป้องกันหวัดได้แบบสมบูรณ์ แต่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายรับมือกับหวัดได้ดีขึ้น ลดความรุนแรงของอาการ และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น

วิตามินซี = สารต้านอนุมูลอิสระ

วิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ อนุมูลอิสระเป็นสารที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย และอาจทำให้เซลล์เสียหายได้หากเกิดสะสมในปริมาณมาก การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงจากการทำลายของอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ วิตามินซียังสามารถช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันเชื้อโรคและสารแปลกปลอมอื่น ๆ ที่อาจเข้าสู่ร่างกาย

วิตามินซีธรรมชาติ VS วิตามินซีเสริม

วิตามินซีสามารถรับประทานได้จากแหล่งธรรมชาติ และจากอาหารเสริม แม้ว่าทั้งสองรูปแบบจะให้ประโยชน์ในการเสริมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย แต่การรับวิตามินซีจากอาหารธรรมชาติจะดีกว่า เพราะนอกจากจะได้รับวิตามินซีแล้วยังได้รับสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ร่วมด้วย

ในกรณีที่ไม่สามารถรับวิตามินซีจากอาหารได้เพียงพอ การเสริมวิตามินซีในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูลก็เป็นทางเลือกที่ดี อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังในการใช้วิตามินซีเสริมในปริมาณที่มากเกินไป เพราะการรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากอาจมีผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารได้

ทำไมวิตามินซีถึงเสื่อมสลายเมื่อโดนความร้อน?

วิตามินซีเป็นวิตามินที่มีความไวต่อแสง ความร้อน และอากาศ ซึ่งหมายความว่าเมื่ออาหารที่มีวิตามินซีสัมผัสกับความร้อนสูง เช่น การต้ม การทอด หรือการอบ ปริมาณวิตามินซีในอาหารนั้นจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การทำอาหารโดยใช้ความร้อนมากเกินไปอาจทำให้วิตามินซีเสื่อมสลายได้ถึง 50% หรือมากกว่านั้น

การต้มอาหารในน้ำเป็นเวลานานทำให้วิตามินซีละลายออกไปในน้ำและสูญเสียประสิทธิภาพ การสัมผัสกับอากาศหรือการถูกเก็บรักษาเป็นเวลานานก็ทำให้วิตามินซีลดลงเช่นกัน

วิธีรักษาวิตามินซีในอาหาร

เพื่อให้สามารถรักษาปริมาณวิตามินซีในอาหารได้อย่างเหมาะสม ควรปฏิบัติตามแนวทางดังนี้:

  1. ปรุงอาหารด้วยความร้อนต่ำ: ใช้วิธีปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนต่ำ เช่น การนึ่ง หรือการผัดอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการเสื่อมสลายของวิตามินซี
  2. หลีกเลี่ยงการต้มอาหารนานเกินไป: การต้มอาหารในเวลาสั้นจะช่วยลดการสูญเสียวิตามินซี โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำซุปหรือซอส
  3. ใช้วิธีการปรุงที่ไม่ต้องใช้ความร้อน: การทานผักผลไม้สด เช่น สลัด จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเต็มที่
  4. การเก็บรักษาที่เหมาะสม: ควรเก็บผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีในที่เย็นและปิดสนิท เพื่อลดการสัมผัสกับอากาศและแสง
  5. การใช้วิธีนึ่งแทนการต้ม: การนึ่งเป็นวิธีที่ช่วยรักษาสารอาหารได้ดีกว่าการต้ม เพราะวิตามินซีจะถูกเก็บรักษาอยู่ในอาหารมากกว่า

วิตามินซีจะเริ่มเสื่อมสลายเมื่อโดนความร้อนที่ประมาณ 70-75 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ความร้อนสูงขึ้นจากจุดนี้จะทำให้การสูญเสียวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความร้อนเกิน 100 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ใช้ในการต้มอาหาร นอกจากนี้การสัมผัสกับความร้อนเป็นเวลานาน เช่น การต้มผักในน้ำเดือดเป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้วิตามินซีถูกทำลายไปมากขึ้น

วิตามินซี เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์หลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง หากเกิดอาการข้างเคียงจากการรับประทาน เช่น ท้องเสีย ปัสสาวะบ่อย ไม่สบายท้อง ควรหยุดรับประทานทันที และปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการทานที่เหมาะสม

แหล่งอ้างอิง/งานวิจัย

  • เรื่อง: Vitamin C for preventing and treating the common cold • เขียนโดย: Harri Hemilä - 2013
  • เรื่อง: Effects of vitamin C on the frequency and duration of colds • เขียนโดย: Ronald H. Behrens - 1999

รู้หรือไม่?

การทานวิตามินซีให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรรับประทานพร้อมอาหาร หรือในช่วงท้องว่าง เช่น ก่อนอาหารเช้า เพื่อการดูดซึมที่ดี ควรหลีกเลี่ยงการทานพร้อมชา หรือกาแฟ และแนะนำให้แบ่งรับประทานวิตามินซีเป็นมื้อเล็กๆ ตลอดวันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดูดซึม

เรื่องแนะนำ

บทความแนะนำ