น้ำ (Water) คือสารประกอบที่มีองค์ประกอบหลักเป็นธาตุไฮโดรเจนและออกซิเจน (H2O) ไม่มีรส ไม่มีสี และกลิ่น ถือเป็นสารที่จำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยมีความสำคัญรองลงมาจากอากาศ เพราะถ้าหากร่างกายขาดน้ำติดต่อกันอย่างน้อย 2-3 วัน ก็อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น ในแต่ละวันจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ต่อไป
ปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
การบริโภคน้ำในปริมาณที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เพศ อายุ กิจกรรมที่ทำ และสภาพอากาศ โดยทั่วไปแล้ว แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตรต่อวัน อย่างไรก็ตาม ความต้องการน้ำของร่างกายอาจเพิ่มขึ้นเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมาก เช่น การออกกำลังกาย หรือในวันที่อากาศร้อน การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
น้ำไม่ได้มาจากการดื่มน้ำเพียงอย่างเดียว แต่อาหารหลายชนิดยังเป็นแหล่งน้ำที่ดี อาหารที่มีปริมาณน้ำสูง เช่น ผักและผลไม้บางชนิด ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ เช่น แตงโม แตงกวา ส้ม และสตรอเบอร์รี มีปริมาณน้ำมาก นอกจากนี้ การบริโภคซุปและน้ำแกงยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่มากขึ้น การรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นนอกเหนือจากการดื่มน้ำโดยตรง
ในร่างกายของมนุษย์ มีน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญ ซึ่งมีปริมาณมากถึงร้อยละ 60 ของน้ำหนักตัว โดยในเด็กทารกแรกเกิดนั้น มีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ประมาณร้อยละ 75-80 ของน้ำหนักตัว
ประโยชน์ของน้ำที่มีต่อร่างกาย
น้ำจัดเป็นสารที่ทำหน้าที่ได้อย่างหลากหลายภายในร่างกายของมนุษย์ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ความสดชื่นเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์มากมายที่ร่างกายจะได้รับ โดยประโยชน์เหล่านั้นก็มีดังนี้
1. บำรุงผิวหนังให้ชุ่มชื้น เปล่งปลั่งสดใส
การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอมีผลดีต่อผิวพรรณ โดยน้ำจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและมีความยืดหยุ่น ช่วยลดการเกิดริ้วรอยและทำให้ผิวดูสดใสขึ้น น้ำยังมีบทบาทในการขจัดสารพิษออกจากร่างกายผ่านเหงื่อและปัสสาวะ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี การดื่มน้ำเป็นประจำเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวพรรณให้ดูสดใสและมีสุขภาพดี
2. ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ในกระบวนการย่อยอาหาร น้ำมีบทบาทสำคัญในการละลายอาหารที่บริโภคเข้าไป น้ำช่วยในการสลายสารอาหารเช่น โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น กระบวนการนี้เกิดขึ้นในระบบทางเดินอาหารที่น้ำจะเข้ามาช่วยให้เอนไซม์และกรดในกระเพาะอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อสารอาหารถูกสลายแล้ว น้ำยังช่วยนำสารอาหารเหล่านี้เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อส่งไปยังอวัยวะต่างๆ ที่ต้องการ
3. ช่วยลำเลียงสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ
น้ำเป็นตัวกลางที่สำคัญในการขนส่งสารอาหารต่างๆ ในร่างกาย หลังจากที่ร่างกายได้รับอาหารและย่อยสลายเป็นสารอาหารขนาดเล็ก เช่น วิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน และกลูโคส น้ำจะช่วยในการขนส่งสารอาหารเหล่านี้ผ่านระบบหมุนเวียนเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อใช้ในการสร้างพลังงานและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ น้ำยังเป็นตัวนำพาสารอาหารไปยังเซลล์ของร่างกายเพื่อให้การทำงานของเซลล์เป็นไปอย่างราบรื่น
4. ช่วยขับเสียออกจากร่างกาย
น้ำเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการกำจัดของเสียจากร่างกาย โดยผ่านทางไตในรูปของปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำยังมีบทบาทในการขับเหงื่อและน้ำลายที่ช่วยในการกำจัดสารเคมีและของเสียที่ไม่จำเป็นออกจากร่างกาย กระบวนการขับของเสียเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการสะสมของสารพิษในร่างกาย
5. ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
น้ำมีบทบาทสำคัญในการช่วยควบคุมน้ำหนัก โดยการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารจะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทำให้การบริโภคอาหารลดลง นอกจากนี้ น้ำยังช่วยในการเผาผลาญพลังงาน โดยกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกายจะทำงานได้ดีขึ้นเมื่อร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอยังช่วยให้ร่างกายมีสมดุลพลังงานที่เหมาะสม และลดโอกาสในการบริโภคอาหารเกินความต้องการ
6. ช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกาย
น้ำมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลอุณหภูมิของร่างกาย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ร่างกายได้รับความร้อนหรือทำงานหนัก น้ำจะถูกขับออกจากร่างกายในรูปของเหงื่อ ซึ่งจะระเหยออกจากผิวหนังและช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย กระบวนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวตามธรรมชาติเพื่อให้ร่างกายรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสม นอกจากนี้ การดื่มน้ำยังช่วยทดแทนน้ำที่สูญเสียไป และรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ
ประโยชน์ของน้ำในการปรุงอาหาร
น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในกระบวนการประกอบอาหารและการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน แม้ว่าน้ำจะดูเป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่ความสำคัญของมันในด้านอาหารนั้นมีมากมาย
1. การทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายเทความร้อน
ในกระบวนการปรุงอาหาร น้ำมีบทบาทเป็นตัวกลางที่ถ่ายเทความร้อนไปยังอาหารได้ดีมาก การต้มน้ำเพื่อปรุงอาหารเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ความร้อนจากการต้มน้ำจะช่วยให้สารอาหารต่างๆ ในอาหารละลายออกมา นอกจากนี้ การนึ่งอาหารด้วยไอน้ำที่ได้จากน้ำยังเป็นวิธีการปรุงอาหารที่รักษาคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้ดี
การใช้ไอน้ำในการปรุงอาหารยังช่วยให้เนื้อสัมผัสของอาหารดีขึ้น ไม่ทำให้อาหารแข็งหรือแห้งเกินไป ดังนั้น น้ำจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อความอร่อยและคุณภาพของอาหารเมื่อปรุงด้วยความร้อน
2. การละลายและการสกัดรสชาติ
น้ำยังมีความสามารถในการละลายและสกัดสารต่างๆ ในอาหารออกมาได้ เช่น ในการทำซุปหรือน้ำแกง น้ำจะช่วยละลายและนำพาสารประกอบรสชาติจากส่วนผสมต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ ผัก และเครื่องเทศ ทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม นอกจากนี้ การต้มสมุนไพรหรือเครื่องเทศในน้ำยังช่วยสกัดเอากลิ่นหอมและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ออกมาได้เต็มที่
3. รักษาความเป็นกรด-ด่างในอาหาร
การปรุงอาหารด้วยน้ำที่มีปริมาณแร่ธาตุต่ำหรือสูงอาจส่งผลต่อรสชาติของอาหารได้ เช่น น้ำที่มีแร่ธาตุมากอาจทำให้เกิดรสขมเล็กน้อยในซุปหรืออาหารบางชนิด ดังนั้น การเลือกใช้น้ำที่มีคุณภาพในการปรุงอาหารจึงมีความสำคัญมาก
ปริมาณน้ำที่เหมาะสมในอาหาร
การใช้น้ำในอาหารควรคำนึงถึงปริมาณที่เหมาะสม การใช้น้ำน้อยเกินไปอาจทำให้อาหารแข็งหรือแห้งเกินไป ในขณะที่การใช้น้ำมากเกินไปอาจทำให้รสชาติของอาหารจืดชืด ควรตรวจสอบปริมาณน้ำที่ใช้ในการปรุงอาหารแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม เช่น การต้มซุปควรใช้น้ำให้เพียงพอในการสกัดรสชาติจากส่วนผสม และการทำข้าวต้มควรใช้น้ำในปริมาณมากกว่าเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มนวล
ตารางแสดงปริมาณสัดส่วนของน้ำในอาหารที่พบบ่อย
ชื่ออาหาร | หน่วยบริโภค | ปริมาณน้ำใน 1 หน่วย | สัดส่วนของน้ำ |
---|---|---|---|
แตงโม | 1 ชิ้น (ประมาณ 100 กรัม) | 92% | สูง |
แตงกวา | 1 ผล (ประมาณ 100 กรัม) | 95% | สูง |
ผักกาดหอม | 1 ใบใหญ่ | 96% | สูง |
สตรอว์เบอร์รี | 5 ผล (ประมาณ 100 กรัม) | 91% | สูง |
ส้ม | 1 ผล (ประมาณ 100 กรัม) | 86% | สูง |
แคนตาลูป | 1 ชิ้น (ประมาณ 100 กรัม) | 90% | สูง |
มะเขือเทศ | 1 ผลใหญ่ | 94% | สูง |
สับปะรด | 1 ชิ้น (ประมาณ 100 กรัม) | 86% | สูง |
แครอท | 1 หัว (ประมาณ 100 กรัม) | 88% | สูง |
ผักบุ้ง | 1 กำเล็ก (ประมาณ 100 กรัม) | 92% | สูง |
แอปเปิล | 1 ผลกลาง | 84% | กลาง |
ลูกแพร์ | 1 ผล | 84% | กลาง |
มะละกอ | 1 ชิ้น (ประมาณ 100 กรัม) | 88% | สูง |
องุ่น | 10-15 ผล (ประมาณ 100 กรัม) | 81% | กลาง |
กล้วย | 1 ผล | 74% | กลาง |
อะโวคาโด | 1 ผล | 72% | กลาง |
ไก่ต้ม | 1 ชิ้น (100 กรัม) | 65% | ต่ำ |
ข้าวสวย | 1 ถ้วย | 60% | ต่ำ |
ขนมปังขาว | 1 แผ่น | 38% | ต่ำ |
เนื้อหมูย่าง | 1 ชิ้น (100 กรัม) | 58% | ต่ำ |
ชีส | 1 ชิ้น | 40% | ต่ำ |
พาสต้าต้มสุก | 1 ถ้วย | 70% | กลาง |
ปลาแซลมอน | 1 ชิ้น (100 กรัม) | 66% | กลาง |
นมสด | 1 แก้ว | 87% | สูง |
โยเกิร์ต | 1 ถ้วย | 85% | สูง |
ไข่ต้ม | 1 ฟอง | 75% | กลาง |
เต้าหู้ | 1 ชิ้น (100 กรัม) | 80% | กลาง |
มะพร้าวอ่อน | 1 ผล | 95% | สูง |
กะหล่ำปลี | 1 หัวเล็ก | 92% | สูง |
ผักโขม | 1 ถ้วยตวง | 91% | สูง |
ฟักทอง | 1 ชิ้น (100 กรัม) | 89% | สูง |
พริกหวาน | 1 ผล | 92% | สูง |
บลูเบอร์รี | 1 ถ้วย (100 กรัม) | 85% | กลาง |
เผือก | 1 หัว (100 กรัม) | 63% | ต่ำ |
มันฝรั่ง | 1 หัว (100 กรัม) | 79% | กลาง |
ถั่วเหลือง | 1 ถ้วยตวง (100 กรัม) | 68% | กลาง |
ข้าวโอ๊ต | 1 ถ้วยตวง | 10% | ต่ำ |
อัลมอนด์ | 10-12 เม็ด (100 กรัม) | 4% | ต่ำ |
เมล็ดทานตะวัน | 1 ถ้วยตวง (100 กรัม) | 6% | ต่ำ |
มะม่วงสุก | 1 ผล (100 กรัม) | 83% | กลาง |
ฝรั่ง | 1 ผล | 80% | กลาง |
น้อยหน่า | 1 ผล | 74% | กลาง |
แครนเบอร์รี | 1 ถ้วย (100 กรัม) | 87% | สูง |
น้ำและคุณค่าทางโภชนาการ
น้ำไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการปรุงอาหาร แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมโภชนาการของอาหาร น้ำช่วยในการดูดซึมสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามิน เกลือแร่ และโปรตีน ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อร่างกาย นอกจากนี้ การดื่มน้ำพร้อมมื้ออาหารยังช่วยส่งเสริมกระบวนการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาหารที่มีปริมาณน้ำสูง เช่น ผักและผลไม้ ยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพ น้ำในผักและผลไม้ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การปรุงอาหารบางชนิด เช่น ต้ม หรือนึ่ง โดยใช้น้ำยังสามารถรักษาคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไว้ได้ดีกว่าการปรุงด้วยวิธีอื่น เช่น การทอด หรือการปิ้ง
องค์ประกอบของน้ำในร่างกาย
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าน้ำ เป็นส่วนประกอบหลักที่พบได้มากที่สุดในร่างกายของมนุษย์ จึงส่งผลให้ตามบริเวณเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย มักจะพบน้ำกระจายอยู่หลายตำแหน่ง โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน
- น้ำที่อยู่ภายในเซลล์ ซึ่งพบได้ในเซลล์ทุกเซลล์ โดยหน้าที่สำคัญในการละลายสารเคมีต่างๆ และช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพของกระบวนการเมทาบอลิซึมให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยน้ำที่อยู่ภายในเซลล์นั้น มีปริมาณร้อยละ 38 ของน้ำหนักตัวทั้งหมด
- น้ำที่อยู่ภายนอกเซลล์ พบได้ในปริมาณร้อยละ 22 ของน้ำหนักตัวทั้งหมด โดยสามารถแบ่งย่อยได้เป็นอีก 2 ประเภทเล็กๆ คือ น้ำที่อยู่ในกระแสเลือด ที่ผ่านเข้าไปยังเลือดตามหลักการออสโมซิส และน้ำที่อยู่ระหว่างเซลล์ ซึ่งทำหน้าที่ในการส่งสารต่างๆ ระหว่างเซลล์และกระแสเลือด โดยส่วนใหญ่จะพบอยู่บริเวณช่องโพรงของอวัยวะ เช่น น้ำเหลือง, น้ำในไขสันหลัง เป็นต้น
ปริมาณที่เหมาะสมของน้ำในร่างกายมนุษย์
ร่างกายของคนเรา มีความแตกต่างกันโดยโครงสร้างและปัจจัยแวดล้อม จึงก่อให้เกิดความต้องการปริมาณน้ำที่แตกต่างกัน โดยจำเป็นต้องประเมินจากสภาพดิน ฟ้า อากาศ ชนิดของอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน รวมไปถึงสภาพความสมบูรณ์ของร่างกาย เช่น ผู้ที่ทำงานอยู่ท่ามกลางสภาพแดดจัด เหงื่อออกมาก จำเป็นที่จะต้องได้รับปริมาณน้ำมากกว่าบุคคลทั่วไป หรือผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สบายจากโรคไข้หวัด, ท้องเสีย, ท้องร่วง ก็จำเป็นที่จะต้องได้รับน้ำในปริมาณมากกว่า โดยปกติแล้ว ร่างกายต้องการน้ำ 1 ลบ.ซม./1 แคลอรี่ของอาหารที่รับประทาน หรือประมาณ 6-8 แก้วต่อวัน
อวัยวะที่ทำหน้าที่ในการขับน้ำออกจากร่างกาย
น้ำส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการ จะถูกขับออกมาผ่านอวัยวะ ดังนี้
ไต
เนื่องจากไตจะทำหน้าที่ในการแยกและคัดกรองของเสียที่ไม่จำเป็นออกจากร่างกาย จากนั้นจะนำเอาสารอาหารที่มีความจำเป็นกลับเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ นอกจากนี้ ไตยังช่วยควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายให้เกิดความเหมาะสม ทำให้เกิดการขับน้ำส่วนเกินออกในรูปแบบของปัสสาวะ ซึ่งมีไตเป็นอวัยวะหลักในการขับของเสียเหล่านั้นออกมา
ปอด
ปอดเป็นอวัยะที่จะช่วยให้ร่างกายระเหยน้ำออกมาผ่านรูปแบบการหายใจ โดยเฉลี่ยแล้ววันละ 300 – 400 กรัม ส่งผลให้ผู้ที่ทำกิจกรรมใช้แรงประเภทต่างๆ และมีการหายใจที่ถี่ผิดปกติ เช่น ผู้ออกกำลังกายกลางแจ้ง ผู้ที่เป็นไข้หวัด จะมีอัตราการสูญเสียน้ำออกจากร่างกายมากกว่าคนปกติทั่วไป
ผิวหนัง
ในแต่ละวัน ร่างกายจะสูญเสียเหงื่อประมาณ 500 มิลลิกรัม จากการทำกิจกรรมประเภทต่างๆ โดยเหงื่อที่ถูกขับออกมาทางผิวหนังนั้นเป็นตัวช่วยที่ดีในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
ระบบทางเดินอาหาร
น้ำจะถูกหลั่งออกมาในรูปของน้ำย่อย ซึ่งปริมาณที่ขับออกมานั้นก็ขึ้นอยู่ปริมาณของอาหารที่รับประทานเข้าไป
ผลกระทบเมื่อร่างกายขาดน้ำหรือดื่มน้ำมากเกินไป?
หากร่างกายขาดน้ำเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน จะก่อให้เกิดอาการกระหายน้ำ อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง และทำงานได้น้อยลง ทนต่อสภาพอากาศได้ลำบากมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ส่วนผู้ที่ดื่มน้ำมากเกินไป ร่างกายก็อาจจะดูดซึมน้ำเข้าสู่กระแสเลือดไม่ทัน ทำให้หัวใจงานหนักกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการบวมน้ำ ปวดหัว กระสับกระส่าย ชัก และอาจหมดสติได้
น้ำเค็มหรือน้ำทะเลไม่ควรดื่ม เนื่องจากมีปริมาณเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) สูงมาก ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย เมื่อดื่มน้ำทะเล ร่างกายจะต้องใช้น้ำมากขึ้นในการขับเกลือส่วนเกินออกทางปัสสาวะ การดื่มน้ำทะเลจึงทำให้เกิดการขาดน้ำอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เกลือที่มากเกินไปในระบบไหลเวียนเลือดยังสามารถทำให้ไตทำงานหนัก และส่งผลกระทบต่อความสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่อาการเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
เทคนิคและวิธี ที่ทำให้ดื่มน้ำได้มากขึ้นในแต่ละวัน
การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาสุขภาพและสมดุลของร่างกาย การขาดน้ำอาจทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนเพลียและส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ คำแนะนำต่อไปนี้สามารถช่วยให้ได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวัน:
1. ดื่มน้ำเป็นประจำ
ควรดื่มน้ำเป็นระยะๆ ตลอดทั้งวัน โดยไม่รอให้รู้สึกกระหายน้ำ การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นของร่างกายและช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ
2. เริ่มต้นวันด้วยการดื่มน้ำ
หลังตื่นนอนควรดื่มน้ำอย่างน้อยหนึ่งแก้วเพื่อช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร และคืนความชุ่มชื้นให้กับร่างกายหลังจากการนอนหลับ
3. ดื่มน้ำก่อนและหลังมื้ออาหาร
การดื่มน้ำสักแก้วก่อนรับประทานอาหารจะช่วยเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการย่อย และการดื่มน้ำหลังมื้ออาหารจะช่วยกระตุ้นกระบวนการย่อยอาหารต่อเนื่อง
4. พกน้ำติดตัวตลอดเวลา
ควรพกขวดน้ำส่วนตัวไว้ใกล้มือเสมอ จะช่วยให้ดื่มน้ำได้สะดวกและบ่อยขึ้น การใช้ขวดน้ำที่มีขนาดเหมาะสมจะช่วยกระตุ้นให้ดื่มน้ำมากขึ้นในแต่ละวัน
5. ดื่มน้ำมากขึ้นเมื่อออกกำลังกาย
เมื่อมีกิจกรรมที่ใช้พลังงานมาก เช่น การออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากเหงื่อ และช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. รับน้ำจากอาหาร
อาหารที่มีปริมาณน้ำสูง เช่น ผักและผลไม้ ยังสามารถช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำเพิ่มขึ้น ผลไม้เช่น แตงโม ส้ม และแตงกวา ล้วนมีน้ำในปริมาณมาก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกาย
7. ใช้แอปพลิเคชันช่วยเตือน
มีแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเตือนการดื่มน้ำตามช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งสามารถเป็นตัวช่วยที่ดีในการสร้างนิสัยการดื่มน้ำที่เพียงพอในแต่ละวัน
ควรตั้งเป้าหมายในการดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมตามน้ำหนักตัวและกิจกรรมในแต่ละวัน เช่น ผู้ที่ออกกำลังกายหรืออยู่ในสภาพอากาศร้อนอาจต้องการน้ำมากกว่าปกติ
มาตรฐานของน้ำดื่มมีอะไรบ้าง
มาตรฐานของน้ำดื่มมีจุดประสงค์เพื่อรับรองว่าน้ำที่บริโภคนั้นสะอาด ปลอดภัย และไม่มีสารที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในประเทศไทย มาตรฐานน้ำดื่มถูกกำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) โดยมาตรฐานหลักๆ ของน้ำดื่มมีดังนี้:
1. คุณภาพทางกายภาพ
- ความใส: น้ำต้องใสสะอาด ไม่มีตะกอนหรือสารแขวนลอย
- สี: น้ำต้องไม่มีสีหรือมีสีอ่อนมาก
- กลิ่น: น้ำดื่มต้องไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
- รสชาติ: น้ำดื่มควรมีรสชาติดี ไม่มีรสขม เค็ม หรือโลหะ
2. คุณภาพทางเคมี
- ปริมาณแร่ธาตุ: มีการกำหนดขีดจำกัดปริมาณแร่ธาตุต่างๆ เช่น โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม และฟลูออไรด์ น้ำดื่มควรมีแร่ธาตุในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพ แต่ไม่มากเกินไปจนเป็นอันตราย
- ความเป็นกรด-ด่าง (pH): ควรอยู่ในช่วง 6.5 – 8.5 ซึ่งเป็นระดับที่ปลอดภัยต่อการบริโภคและไม่ทำให้เกิดการกัดกร่อนในระบบทางเดินอาหาร
- สารเคมีตกค้าง: เช่น คลอรีน หรือสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิต ต้องมีในปริมาณที่ไม่เกินค่ามาตรฐานเพื่อความปลอดภัย
3. คุณภาพทางจุลชีววิทยา
- ปราศจากเชื้อโรค: น้ำดื่มต้องปลอดจากเชื้อโรคและแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตราย เช่น E. coli หรือเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ
- เชื้อไวรัส: ต้องปลอดจากเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค เช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบ
4. สารปนเปื้อนทางเคมีและโลหะหนัก
- น้ำดื่มต้องปลอดจากสารเคมีที่เป็นพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง ปรอท ตะกั่ว แคดเมียม หรือสารพิษอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว
- โลหะหนักเหล่านี้หากมีปริมาณเกินค่ามาตรฐาน อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น การทำงานของไตผิดปกติ หรือความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง
หน่วยงานที่รับรองน้ำดื่มในด้านคุณภาพและความปลอดภัย
แหล่งที่ให้การรับรองน้ำดื่มยอดนิยมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีหลายองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและรับรองคุณภาพของน้ำดื่ม เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำดื่มนั้นปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับการบริโภค องค์กรเหล่านี้มีมาตรฐานและกฎระเบียบที่เข้มงวดเพื่อรับรองคุณภาพน้ำดื่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือแหล่งที่ให้การรับรองน้ำดื่มที่นิยมมากที่สุด:
1. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) – ประเทศไทย
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ “อย.” เป็นองค์กรหลักในประเทศไทยที่รับรองคุณภาพของน้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำดื่มที่จำหน่ายในท้องตลาด การรับรองจาก อย. แสดงว่าน้ำดื่มผ่านการตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานสุขอนามัยและความปลอดภัยทางเคมี จุลชีววิทยา และโลหะหนัก ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าน้ำดื่มที่ได้รับการรับรองจาก อย. ปลอดภัยต่อการบริโภค
2. องค์การอนามัยโลก (WHO)
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เป็นหน่วยงานระดับสากลที่ให้แนวทางในการจัดการคุณภาพน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ มาตรฐานของ WHO เป็นที่ยอมรับในระดับสากลและเป็นแนวทางสำหรับประเทศต่างๆ ในการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพน้ำดื่ม โดยการรับรองจาก WHO จะครอบคลุมคุณสมบัติเกี่ยวกับความสะอาด ปลอดภัย และปราศจากสารพิษที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย
3. National Sanitation Foundation (NSF) – สหรัฐอเมริกา
National Sanitation Foundation หรือ NSF คือ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ทำการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัย รวมถึงน้ำดื่ม NSF ให้การรับรองผลิตภัณฑ์น้ำดื่มทั่วโลกตามมาตรฐานที่เข้มงวด การรับรองจาก NSF ถือเป็นหนึ่งในมาตรฐานที่เชื่อถือได้ว่าผลิตภัณฑ์น้ำดื่มผ่านการตรวจสอบคุณภาพที่ได้มาตรฐาน
การที่แบรนด์น้ำดื่มได้รับการรับรองจาก NSF จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่า ผลิตภัณฑ์น้ำดื่มดังกล่าวผ่านการตรวจสอบและรับรองว่าปลอดภัย ไม่มีสารปนเปื้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
4. International Bottled Water Association (IBWA) – สหรัฐอเมริกา
IBWA เป็นสมาคมที่ดูแลผู้ผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วโลก ซึ่งกำหนดมาตรฐานการผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดที่มีความปลอดภัยและคุณภาพสูง การรับรองจาก IBWA แสดงถึงการผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานทั้งทางด้านความสะอาดและความปลอดภัย
5. สถาบันมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) – ประเทศไทย
สถาบันมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ “สมอ.” เป็นหน่วยงานที่รับรองมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย รวมถึงน้ำดื่มบรรจุขวด การรับรองจาก สมอ. หมายความว่าน้ำดื่มบรรจุขวดได้ผ่านการตรวจสอบและมีคุณสมบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรมที่กำหนดไว้
6. Codex Alimentarius – ระดับสากล
Codex Alimentarius เป็นมาตรฐานอาหารสากลที่จัดทำโดยความร่วมมือของ WHO และ FAO (องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ) มาตรฐาน Codex ครอบคลุมการตรวจสอบคุณภาพน้ำดื่มบรรจุขวดในระดับสากล ซึ่งรวมถึงมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยสำหรับการบริโภคน้ำดื่ม
7. กรมอนามัย – ประเทศไทย
กรมอนามัยเป็นหน่วยงานในประเทศไทยที่รับผิดชอบการดูแลสุขอนามัยของน้ำดื่มและน้ำใช้ในระบบสาธารณูปโภค รวมถึงการตรวจสอบคุณภาพน้ำดื่มที่จำหน่ายในท้องตลาด หน่วยงานนี้ทำหน้าที่กำหนดและบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพน้ำดื่มในประเทศเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำดื่มมีความสะอาดและปลอดภัย
ใช้น้ำประปาต้มมาม่า หรือทำเป็นน้ำก๋วยเตี๋ยวได้ไหม
การใช้น้ำประปาต้มมาม่าหรือทำก๋วยเตี๋ยวถือว่า สามารถทำได้ แต่ควรพิจารณาคุณภาพของน้ำประปาในพื้นที่ก่อน หากน้ำประปาในพื้นที่สะอาด ปลอดภัย และได้รับการบำบัดอย่างถูกต้องตามมาตรฐานสุขอนามัย น้ำประปาสามารถใช้ในการประกอบอาหารได้อย่างปลอดภัย โดยการต้มน้ำประปาจะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่อาจตกค้างในน้ำ และทำให้น้ำสะอาดเพียงพอสำหรับการทำอาหาร
อย่างไรก็ตาม หากน้ำประปามีกลิ่นคลอรีนหรือมีการปนเปื้อน ควรกรองน้ำประปาหรือใช้เครื่องกรองน้ำเพื่อลดสิ่งปนเปื้อนก่อนนำมาใช้ในการปรุงอาหาร เพราะคลอรีนหรือสารเคมีอื่นๆ ในปริมาณมากอาจส่งผลต่อรสชาติของอาหารได้
เคล็ดลับในการใช้น้ำประปาปรุงอาหาร:
- หากน้ำประปามีกลิ่นคลอรีน ควรต้มทิ้งไว้ก่อนนำมาใช้ เพื่อช่วยลดกลิ่น
- การกรองน้ำก่อนใช้สามารถช่วยลดสารเคมีและสิ่งปนเปื้อนต่างๆ
- ควรตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่ว่าปลอดภัยและได้รับการบำบัดตามมาตรฐาน
น้ำดื่ม RO คืออะไร
น้ำดื่ม RO ย่อมาจาก Reverse Osmosis ซึ่งเป็นกระบวนการกรองน้ำที่ใช้เทคโนโลยีออสโมซิสย้อนกลับ เพื่อกรองสิ่งปนเปื้อนต่างๆ รวมถึงแร่ธาตุ สารเคมี และแบคทีเรียออกจากน้ำ ทำให้น้ำมีความสะอาดและบริสุทธิ์สูงมาก
กระบวนการทำงานของระบบ RO
ระบบ RO ทำงานโดยการใช้น้ำที่ผ่านแรงดันสูงไปดันผ่านเยื่อกรอง (membrane) ที่มีรูขนาดเล็กมาก ทำให้เฉพาะโมเลกุลของน้ำสามารถผ่านได้ ส่วนสารละลายอื่นๆ เช่น แร่ธาตุ สารปนเปื้อน และสิ่งสกปรกจะถูกกรองออกและแยกทิ้ง กระบวนการนี้สามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนในน้ำได้มากถึง 95-99% ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเยื่อกรอง
คุณสมบัติของน้ำดื่ม RO
- ความบริสุทธิ์สูง: เนื่องจากกระบวนการกรองที่ละเอียดมาก น้ำ RO จะมีความสะอาดสูง ปราศจากสิ่งปนเปื้อน รวมถึงแบคทีเรีย สารเคมี และโลหะหนัก
- ไม่มีแร่ธาตุ: กระบวนการ RO จะกรองแร่ธาตุทั้งดีและไม่ดีออกจากน้ำ ดังนั้นน้ำ RO มักจะไม่มีแร่ธาตุธรรมชาติหลงเหลืออยู่ ซึ่งเป็นจุดต่างจากน้ำแร่หรือน้ำที่ผ่านการกรองแบบอื่น
ข้อดีของน้ำดื่ม RO
- ปลอดภัยต่อสุขภาพ: ด้วยกระบวนการกรองที่ละเอียด น้ำ RO ปลอดจากสิ่งสกปรก แบคทีเรีย สารเคมี และสารพิษที่อาจเป็นอันตราย
- รสชาติดี: น้ำ RO มักจะมีรสชาติที่สะอาด สดชื่น เนื่องจากไม่มีสิ่งเจือปน
ข้อควรระวัง
- การขาดแร่ธาตุ: เนื่องจากน้ำ RO ไม่มีแร่ธาตุธรรมชาติ อาจไม่เหมาะสำหรับการบริโภคระยะยาวในบางกรณี เนื่องจากร่างกายต้องการแร่ธาตุบางชนิดจากน้ำ เช่น แคลเซียมและแมกนีเซียม
น้ำดื่ม RO เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์สูง เหมาะสำหรับใช้ดื่ม ทำอาหาร หรือใช้ในกระบวนการที่ต้องการน้ำคุณภาพสูง เช่น การเตรียมนมผงสำหรับทารก ใช้ในเครื่องชงกาแฟหรือชา หรือใช้ในตู้ปลา
น้ำถือเป็นสารที่จำเป็นต่อร่างกาย และต้องได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่พอเพียง ไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป โดยนอกจากจะดื่มน้ำให้ได้จำนวนที่พอเหมาะในแต่ละวันแล้ว ก็ควรหมั่นรับประทานผัก และผลไม้ที่มีส่วนประกอบของน้ำด้วยเช่นกัน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ครบถ้วนมากขึ้น