ไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fat) เป็นไขมันที่มีโครงสร้างโมเลกุลประกอบด้วยพันธะคู่ระหว่างอะตอมของคาร์บอนในโซ่กรดไขมัน ซึ่งแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวที่ไม่มีพันธะคู่ ลักษณะของไขมันไม่อิ่มตัวทำให้มันมีความยืดหยุ่นและเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง เช่น น้ำมันพืชและน้ำมันจากปลา ไขมันไม่อิ่มตัวถือว่ามีบทบาทสำคัญในการบำรุงสุขภาพเมื่อรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
ประเภทของไขมันไม่อิ่มตัว
ไขมันไม่อิ่มตัวแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน:
- ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fat): ไขมันประเภทนี้มีพันธะคู่ระหว่างคาร์บอนเพียงหนึ่งพันธะ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวพบได้ในอาหารจำพวกน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา อะโวคาโด และถั่วต่าง ๆ ไขมันประเภทนี้มีความสามารถในการทนความร้อนได้สูง และเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพเมื่อใช้ประกอบอาหาร
- ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fat): ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนมีพันธะคู่ระหว่างคาร์บอนมากกว่าหนึ่งพันธะ พบได้ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันข้าวโพด นอกจากนี้ยังพบในปลาทะเลที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน และปลาทูน่า ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มย่อยสำคัญ คือ
-
- โอเมก้า 3 (Omega-3 Fatty Acids): พบในน้ำมันปลา เมล็ดแฟลกซ์ และถั่วบางชนิด
- โอเมก้า 6 (Omega-6 Fatty Acids): พบในน้ำมันพืชและถั่ว
การทำงานของไขมันไม่อิ่มตัวในร่างกาย
ไขมันไม่อิ่มตัวมีบทบาทสำคัญในการทำงานของร่างกายหลายด้าน เช่น
- บำรุงเยื่อหุ้มเซลล์: ไขมันไม่อิ่มตัวเป็นส่วนสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ในร่างกาย ซึ่งทำให้เซลล์มีความยืดหยุ่นและสามารถทำงานได้อย่างปกติ
- สร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ: ไขมันไม่อิ่มตัวมีบทบาทในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและรักษาการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
- สนับสนุนการทำงานของสมองและระบบประสาท: โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีส่วนสำคัญต่อการทำงานของสมองและระบบประสาท รวมถึงการพัฒนาของสมองในเด็กและการทำงานของสมองในผู้ใหญ่
แหล่งของไขมันไม่อิ่มตัว
ไขมันไม่อิ่มตัวพบในอาหารหลากหลายประเภท โดยแหล่งสำคัญ ได้แก่
- น้ำมันพืช: เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน
- ปลาทะเล: เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ซึ่งเป็นแหล่งของไขมันโอเมก้า 3
- ถั่วและเมล็ดพืช: เช่น ถั่ววอลนัท อัลมอนด์ เมล็ดแฟลกซ์ และเมล็ดเจีย